Thursday, June 10, 2010

การสอนแบบยึดนักเรียนเป็นหลัก

วันนี้ก็เป็นอีก 1 วันใน 4 วันที่จะต้องเข้าประชุมผู้ปกครองนักเรียนที่ที่น้องผมเรียนอยู่ ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ทางโรงเรียนได้จัดให้ผู้ปกครองเสนอแนวทางในการจัดบุคคลากรเข้ามาสอนเสริมวันเสาร์ ซึ่งปกติแล้วทางโรงเรียนก็จะมีการจัดหาและการประเมินผู้สอนอยู่แล้ว

ทางโรงเรียนก็นำเสนอการจัดหาดังนี้

1.  อาจารย์ที่สอนปกติอยู่แล้วในโรงเรียนหรือที่อื่น ๆ ที่ทางผู้จัดหาเห็นว่าเหมาะสม
2.  อาจารย์สอนพิเศษที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์อุ อาจารย์เผ่า

หลังจากมีผู้ปกครองออกไปหน้าห้องและให้ความเห็นต่าง ๆ ก็สรุปถึงปัญหาและแนวทางได้ดังนี้

1. นักเรียนไม่ค่อยเข้าเรียน - ทั้ง ๆที่เป็นการจ้างอาจารย์พิเศษมาจากที่อื่น และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีนักเรียนบางคนไม่ค่อยสนใจเรียน เอาแต่แตะบอล หรือไม่ก็เข้าเรียนช้า
2. นักเรียนแต่งการตามรูปแบบที่ตกลงกัน คือ ให้แต่งชุดนักเรียนปกติ แต่ก็มีนักเรียนบางคนแต่งชุดพละมาเรียน
3. อยากให้มีการจัดหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ มาสอน


พอฟังได้ซักพักก็มีผู้ปกครองหลายท่านออกมาให้ความเห็นกัน จนกระทั่งผมคิดว่าความเห็นผมน่าจะมีประโยชน์กับผู้ปกครองที่มาประชุมบ้าง เพราะว่าผมเป็นพี่ชายไม่ใช้พ่อแม่ของนักเรียน แล้วผมก็เดินออกไปให้ความเห็นดังนี้

"สวัสดีครับ ผมเป็นผู้ปกครองของนักเรียน แต่เป็นพี่ชาย ไม่ใช่พ่อ และแม่ของนักเรียน ผมอยากจะมีเสนอแนวคิดของพี่ชาย ด้วยเหตุผลที่ว่า พี่ชายจะสนิทกับน้องชายมากกว่า พ่อและแม่" แล้วผมก็ถามต่อไปว่า 
"มีพ่อแม่ทานใดเคยเข้าไปเรียนพิเศษกับลูกชายที่สถาบันติว ต่าง ๆ บ้าง ?"
หลาย ๆ ท่านบอกว่า ไม่เคย บ้างก็มีบอกว่า สถาบันนั้น ๆ ไม่ให้เค้าไป ...
รอสักพัก ผมก็บอกไปว่า "ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยเป็นนักเรียนที่ไปติวครับ ในการติวนั้นสำหรับผมเอง ผมต่อต้านการติวมาตลอด เพราะว่าการติวไม่ใช่การทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มและนำไปใช้ได้เท่าไหร่ แต่เป็นการติวว่าจะทำข้อสอบอย่างไร"
"การเรียนที่ดีที่สุดคือการเรียนที่ห้องเรียนนั่นแหละครับ เพราะว่านักเรียนจะได้พื้นฐานที่ดี และถ้าหากมีพื้นฐานที่ดีแล้วการไปติวที่สถาบันนั้นก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า  การที่นักเรียนที่มีพื้นฐานที่ไม่ดีไปติวนั้น ก็เหมือนกับส่งนักเรียนไปนั่งเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้น หากเรานำอาจารย์ที่ติว มาสอนนักเรียนในวันเสาร์ ผมคิดว่าไม่เกิดประโยชน์"

"เมื่อก่อนเคยเรียนกวดวิชากับอาจารย์หลังเลิกเรียน ในสถานที่นี่แหละ ผมว่าอาจารย์คนนั้นสอนให้ผมเข้าใจในวิชานั้น และนำไปใช้งานได้มากกว่าจะทำข้อสอบได้ ดังนั้นผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องนำอาจารย์ที่มีชื่อจากสถาบันกวดวิชาต่าง ๆ มาสอนก็ได้ แต่อยากให้เสนออาจารย์ที่สอนแล้วนักเรียนเข้าใจมาสอนมากกว่า"

"ส่วนเรื่องการแต่งกายของนักเรียนที่ห้ามไม่ให้นักเรียนแต่ชุดพละมาเรียนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นคนละเรื่องกันกับการเรียน และเหตุผลที่อาจารย์บอกว่า เพื่อให้ทางโรงเรียนตรวจสอบได้ว่าเป็นักเรียนที่จะมาเรียนพิเศษหรือเป็นคนอื่นนั้น  เท่าที่ฟังแล้วทางโรงเรียนก็ไม่ได้แจ้งให้นักเรียนทราบถึงเหตุผล ดังนั้นแน่นอนนักเรียนก็ย่อมไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงแต่งชุดพละไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่าหากเขาแต่งชุดสุภาพมาเรียน และตั้งใจเรียน ก็ย่อมจะเป็นผลดีกว่า ส่วนเรื่องการตรวจสอนนั้น เราก็น่าจะมีวิธีอื่น แต่ที่สำคัญคือ อยากให้นักเรียนมาเรียนมากกว่า "


เสียดายที่มีเวลาน้อยไป ผมเลยไม่ได้สรุปประเด็นสำคัญอีกอย่าง แต่ก็ขอมาสรุปที่นี่ไว้ดังนี้


ในส่วนตัวทั้งที่เคยเป็นนักเรียน และเป็นผู้ปกครอง ผมมีความคิดว่า "การเรียนในประเทศไทย ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก และมักจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองมากไป ทำให้ขาดการจัดการและการบริการอย่างเป็นระบบ" เช่น การออกข้อสอบที่ยังเป็น ก.​ข.​ค.ง ที่มีการกำหนดกรอบความคิด และยังเป็นการสอนนักเรียนเดาคำตอบ มากกว่าจะหาคำตอบ ซึ่งพอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เด็กที่เรียนมาแบบ กขคง. นั้นก็จะลำบาก เพราะว่าไม่มีกรอบให้คิด ผมยังเกือบเอาตัวไม่รอด  และต่อมาก็มีแนวคิดว่าจะมีการเรียนการสอนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งผมคิดว่าแนวคิดอันนี้ดีทีเดียว แต่ว่าพอมาปฏิบัติแล้ว ดูผิดจากความคาดหวัง

เอาไว้หัวข้อหน้า ผมจะมาเขียนสิ่งที่อยากให้การเรียนการสอนในเมืองไทยเป็น


ป.ล. ความเห็นนี้เป็นความเห็นของ โรงเรียน รัฐบาลที่มีเงินทุนน้อยนะครับ เพราะว่าผมไม่เคยเรียนเอกชน หรือโรงเรียนรัฐบาล ที่ผู้ปกครองต้องแย่งกันให้นักเรียนได้เข้าเรียน