วันนี้หลังจากเสร็จภาระกิจในการอบรมการใช้งานระบบ เราก็มุ่งหน้ามาที่ Futune ที่ที่เป็นถิ่นของ True
ตอนนี้เหลือเวลาที่ต้องทำงานประจำวันอีก 1.30 ชั่วโมง ...
ขอทำงานผ่าน WiFi หน่อย แน่นอนเราต้องเข้าไปที่ True Coffee
กว่าจะได้ใช้งาน True WiFi ได้เราก็ต้องจ่ายเงินค่ากาแฟไปตั้ง 210 บาท (รวมค่า internet 50 บาท) ที่แปลกใจคือ ราคาของการใช้งาน Internet ถ้าหากเราใช้ WiFi ผ่านเครื่องของเรา เราจะเสียค่าใช้บริการ ชั่วโมงละ 150 บาท แต่หากเราใช้เครื่องตั้งโต๊ะของ True เราจะจ่ายที่ 50 บาท/ชั่วโมง
สงสัยค่าไฟที่เราใช้ WiFi จะแพงกว่าค่าใช้ผ่านสาย LAN
ว่าไหม?
Wednesday, September 1, 2010
Monday, August 30, 2010
ออกแบบบ้านอย่างไรดี
วันก่อนมีคนถามทางไปวังน้ำเขียว เห็นบอกว่าจะไปซื้อที่ที่นั่นเพื่ออยู่ตอนเกษียณ
แว๊บแรกก็นึกขึ้นได้ว่า "ถ้าเป็นเราจะสร้างบ้านแบบไหนดี"
สุดท้ายก็ตอบตัวเองว่า สร้างบ้านที่เป็นเหมือนสิ่งแวดล้อมที่มันเป็นอยู่ คือ ไม่ใช่สร้างตึกใหญ่โต หรือว่าบ้านสีเขียว สีแดง สีฟ้า แต่จะสร้างบ้านเอาไว้ปลูกผักผลไม้และเห็ดขาย สบายใจดี
แว๊บแรกก็นึกขึ้นได้ว่า "ถ้าเป็นเราจะสร้างบ้านแบบไหนดี"
สุดท้ายก็ตอบตัวเองว่า สร้างบ้านที่เป็นเหมือนสิ่งแวดล้อมที่มันเป็นอยู่ คือ ไม่ใช่สร้างตึกใหญ่โต หรือว่าบ้านสีเขียว สีแดง สีฟ้า แต่จะสร้างบ้านเอาไว้ปลูกผักผลไม้และเห็ดขาย สบายใจดี
Thursday, August 26, 2010
ทางด่วนอยากให้ทางสะดวกด้วย
ทางด่วน... บรื่น ๆ ๆ ๆ
เรื่องของเรื่องมันเกิดความคิดที่จะเขียนบทความนี้เมื่อต้องรอการจ่ายค่าบริการทางด่วน ซึ่งมีทั้งหมด 3 ช่องทาง ซึ่งแต่เดิมเป็นช่องจ่ายเงินสดทุกช่องทาง แต่ช่วงหลังมีการเปลี่ยน 1 ช่องทางเป็นช่อง EasyPass ไป
EasyPass เข้าใจว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานบัตรทางด่วนใหม่ เพื่อให้สะดวกต่อผู้ที่ใช้บัตรเป็นหลัก พูดง่าย ๆ คือไม่ต้องคอยมานับเงินทอนกัน ซึ่งจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้นถ้ามีบัตร แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ มัน EasyPass แต่ไม่ด่วนกว่าผมเท่าไหร่ เพราะว่าก็ไปติดเหมือนผมที่บนทางด่วนอยู่ดี
จำได้ว่าเคยไปใช้ทางด่วนที่ต่างประเทศมา มันไม่มีไม้กั้น มีแต่ตัวอักษรบอกว่าทะเบียนรถที่กำลังจะผ่านนี้ทะเบียนอะไร บอกจุดเริ่มต้นการใช้บริการ ส่วนเวลาลงจากทางด่วนก็จะมีทะเบียนรถและราคาที่เราใช้บริการบอก และยังมีราคาที่เหลืออยู่บนบัตรให้ดูด้วย
ผมเสนออย่างนี้ดีกว่า
เรื่องของเรื่องมันเกิดความคิดที่จะเขียนบทความนี้เมื่อต้องรอการจ่ายค่าบริการทางด่วน ซึ่งมีทั้งหมด 3 ช่องทาง ซึ่งแต่เดิมเป็นช่องจ่ายเงินสดทุกช่องทาง แต่ช่วงหลังมีการเปลี่ยน 1 ช่องทางเป็นช่อง EasyPass ไป
EasyPass เข้าใจว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานบัตรทางด่วนใหม่ เพื่อให้สะดวกต่อผู้ที่ใช้บัตรเป็นหลัก พูดง่าย ๆ คือไม่ต้องคอยมานับเงินทอนกัน ซึ่งจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้นถ้ามีบัตร แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ มัน EasyPass แต่ไม่ด่วนกว่าผมเท่าไหร่ เพราะว่าก็ไปติดเหมือนผมที่บนทางด่วนอยู่ดี
จำได้ว่าเคยไปใช้ทางด่วนที่ต่างประเทศมา มันไม่มีไม้กั้น มีแต่ตัวอักษรบอกว่าทะเบียนรถที่กำลังจะผ่านนี้ทะเบียนอะไร บอกจุดเริ่มต้นการใช้บริการ ส่วนเวลาลงจากทางด่วนก็จะมีทะเบียนรถและราคาที่เราใช้บริการบอก และยังมีราคาที่เหลืออยู่บนบัตรให้ดูด้วย
ผมเสนออย่างนี้ดีกว่า
- สนับสนุนให้มีช่อง EasyPass เยอะกว่าช่องบริการปกติ ส่งเสริมให้ใช้บัตร และสามารถเติมเงินได้อย่างสะดวก อีซี่หน่อยเซ่...
- ยกเลิกไม้กัน ในช่อง EasyPass คือถ้าระบบไม่สามารถตรวจสอบได้ก็ให้เค้าผ่านไปเถอะ เพราะระบบมันไม่ดี
- เก็บเงิน Prepaid ไว้ในธนาคารเพื่อให้ตัดเงินได้เมื่อใช้บริการ โดยต้องมีกำหนดขั้นต่ำไว้ หรือให้ดีก็ทำเป็น Postpaid ไปเลย เหมือนบัตรเครดิต
- คิดเงินตามระยะทางแทนจำนวนการใช้งาน
- ใครทำผิดกฏก็ออกใบสั่งตามไปได้ เหมือนทุกวันนี้ก็ยังทำได้ตามแยกต่าง ๆ
- นำข้อมูลการใช้งานทางด่วนมาวิเคราะห์ถึงจำนวนการใช้งาน ระยะเวลา ประเภทรถยนต์ที่ใช้งาน โอ้ย.. มีอีกเยอะท่ีจะทำได้
ผมหวังว่าอีกหน่อยก่อนใช้ทางด่วน จะมี SMS แสดงให้ทราบว่า ถ้าวันนี้ใช้ทางด่วนจะใช้เวลาไปถึงปลายทางกี่นาที และประหยัดเวลาเท่าไหร่เมื่อเทียบกันกับการใช้ทางยุ่งปกติ
ยิ่งดีหากมีค่าสรุปดังต่อไปนี้แสดงให้ดูด้วย
- จำนวนการใช้บริการ
- ระยะทางที่ใช้
- เวลาที่ประหยัดได้เมื่อเทียบกับทางปกติ
- ช่วงเวลาในการเดินทางที่สะดวกเมื่อใช้ทางด่วนจากด่านต้นทางและด่านปลายทาง
ผมว่าทำได้อย่างนี้ก็พอจะเป็นทางด่วนจริงแล้ว แถมยังเป็นทางสะดวกอีกด้วย
Sunday, August 22, 2010
service mind บริการด้วยใจ หรือ ใจบริการ
เมื่อวานนี้ช่างมาซ่อมเครื่องทำความเย็น แน่นอนช่างมาทำตามหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน แต่ว่าผมอยากได้มากกว่านั้น สิ่งที่ผมอยากได้คือ service mind
คำว่า "Service Mind" ของผมอยากจะหมายความว่า "ใจบริการ" มากกว่า "บริการด้วยใจ" เพราะว่า ใจบริการนั้นดูแล้วมันเหมือนกับเป็นนิสัย แต่ บริการด้วยใจ เหมือนกับว่า ต้องบังคับใจมาบริการ
เมื่อหลาย ๆ สินค้ามีความเท่าเทียมกัน เช่น สินค้าระบบเทคโนโลยี สิ่งต่อมาที่เห็นจะทำให้เห็นคุณค่าและความแตกต่างคือ บริการ
บ่อยครั้งที่เราใช้บริการนำไปสู่สินค้า เช่น เมื่อช่างเข้ามาซ่อมแล้วเรามักจะถามว่าถ้าจะซื้ออันนี้ดีไหม เป็นอย่างไร แน่นอนว่าเราจะมีความเชื่อในช่างที่เราคิดว่าดี มากกว่าเราจะโทรไปถามร้านค้าเอง และนั่นก็เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินผ่านทางผู้บริการได้
เหมือนผมในปัจจุบันนั่นเอง...
คำว่า "Service Mind" ของผมอยากจะหมายความว่า "ใจบริการ" มากกว่า "บริการด้วยใจ" เพราะว่า ใจบริการนั้นดูแล้วมันเหมือนกับเป็นนิสัย แต่ บริการด้วยใจ เหมือนกับว่า ต้องบังคับใจมาบริการ
เมื่อหลาย ๆ สินค้ามีความเท่าเทียมกัน เช่น สินค้าระบบเทคโนโลยี สิ่งต่อมาที่เห็นจะทำให้เห็นคุณค่าและความแตกต่างคือ บริการ
บ่อยครั้งที่เราใช้บริการนำไปสู่สินค้า เช่น เมื่อช่างเข้ามาซ่อมแล้วเรามักจะถามว่าถ้าจะซื้ออันนี้ดีไหม เป็นอย่างไร แน่นอนว่าเราจะมีความเชื่อในช่างที่เราคิดว่าดี มากกว่าเราจะโทรไปถามร้านค้าเอง และนั่นก็เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินผ่านทางผู้บริการได้
เหมือนผมในปัจจุบันนั่นเอง...
Saturday, August 21, 2010
มองด้านดี ดีกว่ามองด้านลบ
ปกติเคยได้ยินแต่ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" จะดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนเป็น "อภิปรายไว้วางใจ" แล้วโหวตเหมือน The Star, AF ก็จะดีไม่น้อย เพราะว่าทุกคนจะได้มุ่งทำแต่ความดี และมองว่าใครทำดีกว่ากัน
ใครคะแนนน้อยก็ให้พิจารณาตัวเองว่าทำอะไรบ้าง
ใครคะแนนน้อยก็ให้พิจารณาตัวเองว่าทำอะไรบ้าง
Monday, July 26, 2010
ก้มเงย
วันนี้ต้องติดทีวีที่ผนังห้องเป็นแบบแขวน ถ้าเราไปหาซื้อตัวยึดกับผนังจะพบว่ามีหลายแบบในเลือกมากมาย
พอเวลามาติดที่ผนังแล้วปรากฏว่า แบบที่เลือก "แบบก้มเงยปรับองศาได้ 18 องศา" มันเป็นประเด็น เพราะว่าเราสามารถปรับให้คนนั่งดูก็ได้ ยืนดูก็ดี ตามแต่โอกาส เช่น
พอเวลามาติดที่ผนังแล้วปรากฏว่า แบบที่เลือก "แบบก้มเงยปรับองศาได้ 18 องศา" มันเป็นประเด็น เพราะว่าเราสามารถปรับให้คนนั่งดูก็ได้ ยืนดูก็ดี ตามแต่โอกาส เช่น
- นั่งบนโซฟา หรือนอน ก็ปรับให้ก้มมากหน่อย
- เวลามีงานเลี้ยงในบ้านก็ปรับให้ขนานกับการยืนดู
- เวลานั่งที่โต๊ะก็ปรับให้ก้มนิดหน่อย
และนี้คือความต่างกันของการเลือกตามประสบการณ์นั่นเอง
Thursday, June 10, 2010
การสอนแบบยึดนักเรียนเป็นหลัก
วันนี้ก็เป็นอีก 1 วันใน 4 วันที่จะต้องเข้าประชุมผู้ปกครองนักเรียนที่ที่น้องผมเรียนอยู่ ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ทางโรงเรียนได้จัดให้ผู้ปกครองเสนอแนวทางในการจัดบุคคลากรเข้ามาสอนเสริมวันเสาร์ ซึ่งปกติแล้วทางโรงเรียนก็จะมีการจัดหาและการประเมินผู้สอนอยู่แล้ว
ทางโรงเรียนก็นำเสนอการจัดหาดังนี้
1. อาจารย์ที่สอนปกติอยู่แล้วในโรงเรียนหรือที่อื่น ๆ ที่ทางผู้จัดหาเห็นว่าเหมาะสม
2. อาจารย์สอนพิเศษที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์อุ อาจารย์เผ่า
หลังจากมีผู้ปกครองออกไปหน้าห้องและให้ความเห็นต่าง ๆ ก็สรุปถึงปัญหาและแนวทางได้ดังนี้
1. นักเรียนไม่ค่อยเข้าเรียน - ทั้ง ๆที่เป็นการจ้างอาจารย์พิเศษมาจากที่อื่น และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีนักเรียนบางคนไม่ค่อยสนใจเรียน เอาแต่แตะบอล หรือไม่ก็เข้าเรียนช้า
2. นักเรียนแต่งการตามรูปแบบที่ตกลงกัน คือ ให้แต่งชุดนักเรียนปกติ แต่ก็มีนักเรียนบางคนแต่งชุดพละมาเรียน
3. อยากให้มีการจัดหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ มาสอน
พอฟังได้ซักพักก็มีผู้ปกครองหลายท่านออกมาให้ความเห็นกัน จนกระทั่งผมคิดว่าความเห็นผมน่าจะมีประโยชน์กับผู้ปกครองที่มาประชุมบ้าง เพราะว่าผมเป็นพี่ชายไม่ใช้พ่อแม่ของนักเรียน แล้วผมก็เดินออกไปให้ความเห็นดังนี้
เสียดายที่มีเวลาน้อยไป ผมเลยไม่ได้สรุปประเด็นสำคัญอีกอย่าง แต่ก็ขอมาสรุปที่นี่ไว้ดังนี้
ในส่วนตัวทั้งที่เคยเป็นนักเรียน และเป็นผู้ปกครอง ผมมีความคิดว่า "การเรียนในประเทศไทย ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก และมักจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองมากไป ทำให้ขาดการจัดการและการบริการอย่างเป็นระบบ" เช่น การออกข้อสอบที่ยังเป็น ก.ข.ค.ง ที่มีการกำหนดกรอบความคิด และยังเป็นการสอนนักเรียนเดาคำตอบ มากกว่าจะหาคำตอบ ซึ่งพอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เด็กที่เรียนมาแบบ กขคง. นั้นก็จะลำบาก เพราะว่าไม่มีกรอบให้คิด ผมยังเกือบเอาตัวไม่รอด และต่อมาก็มีแนวคิดว่าจะมีการเรียนการสอนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งผมคิดว่าแนวคิดอันนี้ดีทีเดียว แต่ว่าพอมาปฏิบัติแล้ว ดูผิดจากความคาดหวัง
เอาไว้หัวข้อหน้า ผมจะมาเขียนสิ่งที่อยากให้การเรียนการสอนในเมืองไทยเป็น
ป.ล. ความเห็นนี้เป็นความเห็นของ โรงเรียน รัฐบาลที่มีเงินทุนน้อยนะครับ เพราะว่าผมไม่เคยเรียนเอกชน หรือโรงเรียนรัฐบาล ที่ผู้ปกครองต้องแย่งกันให้นักเรียนได้เข้าเรียน
ทางโรงเรียนก็นำเสนอการจัดหาดังนี้
1. อาจารย์ที่สอนปกติอยู่แล้วในโรงเรียนหรือที่อื่น ๆ ที่ทางผู้จัดหาเห็นว่าเหมาะสม
2. อาจารย์สอนพิเศษที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์อุ อาจารย์เผ่า
หลังจากมีผู้ปกครองออกไปหน้าห้องและให้ความเห็นต่าง ๆ ก็สรุปถึงปัญหาและแนวทางได้ดังนี้
1. นักเรียนไม่ค่อยเข้าเรียน - ทั้ง ๆที่เป็นการจ้างอาจารย์พิเศษมาจากที่อื่น และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีนักเรียนบางคนไม่ค่อยสนใจเรียน เอาแต่แตะบอล หรือไม่ก็เข้าเรียนช้า
2. นักเรียนแต่งการตามรูปแบบที่ตกลงกัน คือ ให้แต่งชุดนักเรียนปกติ แต่ก็มีนักเรียนบางคนแต่งชุดพละมาเรียน
3. อยากให้มีการจัดหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ มาสอน
พอฟังได้ซักพักก็มีผู้ปกครองหลายท่านออกมาให้ความเห็นกัน จนกระทั่งผมคิดว่าความเห็นผมน่าจะมีประโยชน์กับผู้ปกครองที่มาประชุมบ้าง เพราะว่าผมเป็นพี่ชายไม่ใช้พ่อแม่ของนักเรียน แล้วผมก็เดินออกไปให้ความเห็นดังนี้
"สวัสดีครับ ผมเป็นผู้ปกครองของนักเรียน แต่เป็นพี่ชาย ไม่ใช่พ่อ และแม่ของนักเรียน ผมอยากจะมีเสนอแนวคิดของพี่ชาย ด้วยเหตุผลที่ว่า พี่ชายจะสนิทกับน้องชายมากกว่า พ่อและแม่" แล้วผมก็ถามต่อไปว่า
"มีพ่อแม่ทานใดเคยเข้าไปเรียนพิเศษกับลูกชายที่สถาบันติว ต่าง ๆ บ้าง ?"
หลาย ๆ ท่านบอกว่า ไม่เคย บ้างก็มีบอกว่า สถาบันนั้น ๆ ไม่ให้เค้าไป ...
รอสักพัก ผมก็บอกไปว่า "ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยเป็นนักเรียนที่ไปติวครับ ในการติวนั้นสำหรับผมเอง ผมต่อต้านการติวมาตลอด เพราะว่าการติวไม่ใช่การทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มและนำไปใช้ได้เท่าไหร่ แต่เป็นการติวว่าจะทำข้อสอบอย่างไร"
"การเรียนที่ดีที่สุดคือการเรียนที่ห้องเรียนนั่นแหละครับ เพราะว่านักเรียนจะได้พื้นฐานที่ดี และถ้าหากมีพื้นฐานที่ดีแล้วการไปติวที่สถาบันนั้นก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า การที่นักเรียนที่มีพื้นฐานที่ไม่ดีไปติวนั้น ก็เหมือนกับส่งนักเรียนไปนั่งเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้น หากเรานำอาจารย์ที่ติว มาสอนนักเรียนในวันเสาร์ ผมคิดว่าไม่เกิดประโยชน์"
"เมื่อก่อนเคยเรียนกวดวิชากับอาจารย์หลังเลิกเรียน ในสถานที่นี่แหละ ผมว่าอาจารย์คนนั้นสอนให้ผมเข้าใจในวิชานั้น และนำไปใช้งานได้มากกว่าจะทำข้อสอบได้ ดังนั้นผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องนำอาจารย์ที่มีชื่อจากสถาบันกวดวิชาต่าง ๆ มาสอนก็ได้ แต่อยากให้เสนออาจารย์ที่สอนแล้วนักเรียนเข้าใจมาสอนมากกว่า"
"ส่วนเรื่องการแต่งกายของนักเรียนที่ห้ามไม่ให้นักเรียนแต่ชุดพละมาเรียนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นคนละเรื่องกันกับการเรียน และเหตุผลที่อาจารย์บอกว่า เพื่อให้ทางโรงเรียนตรวจสอบได้ว่าเป็นักเรียนที่จะมาเรียนพิเศษหรือเป็นคนอื่นนั้น เท่าที่ฟังแล้วทางโรงเรียนก็ไม่ได้แจ้งให้นักเรียนทราบถึงเหตุผล ดังนั้นแน่นอนนักเรียนก็ย่อมไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงแต่งชุดพละไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่าหากเขาแต่งชุดสุภาพมาเรียน และตั้งใจเรียน ก็ย่อมจะเป็นผลดีกว่า ส่วนเรื่องการตรวจสอนนั้น เราก็น่าจะมีวิธีอื่น แต่ที่สำคัญคือ อยากให้นักเรียนมาเรียนมากกว่า "
เสียดายที่มีเวลาน้อยไป ผมเลยไม่ได้สรุปประเด็นสำคัญอีกอย่าง แต่ก็ขอมาสรุปที่นี่ไว้ดังนี้
ในส่วนตัวทั้งที่เคยเป็นนักเรียน และเป็นผู้ปกครอง ผมมีความคิดว่า "การเรียนในประเทศไทย ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก และมักจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองมากไป ทำให้ขาดการจัดการและการบริการอย่างเป็นระบบ" เช่น การออกข้อสอบที่ยังเป็น ก.ข.ค.ง ที่มีการกำหนดกรอบความคิด และยังเป็นการสอนนักเรียนเดาคำตอบ มากกว่าจะหาคำตอบ ซึ่งพอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เด็กที่เรียนมาแบบ กขคง. นั้นก็จะลำบาก เพราะว่าไม่มีกรอบให้คิด ผมยังเกือบเอาตัวไม่รอด และต่อมาก็มีแนวคิดว่าจะมีการเรียนการสอนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งผมคิดว่าแนวคิดอันนี้ดีทีเดียว แต่ว่าพอมาปฏิบัติแล้ว ดูผิดจากความคาดหวัง
เอาไว้หัวข้อหน้า ผมจะมาเขียนสิ่งที่อยากให้การเรียนการสอนในเมืองไทยเป็น
ป.ล. ความเห็นนี้เป็นความเห็นของ โรงเรียน รัฐบาลที่มีเงินทุนน้อยนะครับ เพราะว่าผมไม่เคยเรียนเอกชน หรือโรงเรียนรัฐบาล ที่ผู้ปกครองต้องแย่งกันให้นักเรียนได้เข้าเรียน
Subscribe to:
Posts (Atom)