วงเวียนของการทำมาหากินของชาวไทยส่วนใหญ่อยู่กับเกษตรกรรม มาแต่ไหนแต่ไร และเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ หลาย ๆ ธุรกิจที่เฟื่องฟู และยั่งยืน ยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการทำมาหากินแบบ ไทย ๆ แค่เปลี่ยนวิธีการไปเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น อาหาร การท่องเที่ยว เสื้อผ้า ยารักษาโรค
ประเทศไทยมีอะไรที่หลาย ๆ ประเทศไม่สามารถมีได้ หรือเรียกให้ดีคือ มีทุน ทุนทางด้านทรัพยากรที่ดี แต่เนื่องด้วยทรัพยากรที่มากมาย หากจัดการไม่ดีแล้ว ย่อยส่งผลไม่ดีได้ด้วย ดังเช่น ทุกวันนี้ เราจะพบว่า เกษตรกร ยังต้องซื้อผลผลิตเกษตร มาทานเอง แม้ว่าจะสามารถผลิตเองได้
เขียนข้อความนี้แล้วทำให้นึกถึง ข้อความนี้
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...”
มีพอแล้ว ที่เหลือค่อยขาย
Wednesday, June 29, 2011
Friday, June 10, 2011
Home กับพลังงาน
เมื่อดู Home จาก http://www.homethemovie.org/ แล้วพอจะพบว่า มนุษย์มีความไม่พออยู่มากมาย จริง ๆ มนุษย์ไม่เคยพอในสิ่งที่มี เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโลก เครื่องนุ่งห่ม
พอดูจบก็ถามตัวเองว่า ทำไมโลกถึงมีพลังงานในตัวเอง เช่น น้ำมัน อากาศ แร่ธาตุ ลม ดิน น้ำ โลกมีสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อรักษาให้เป็นโลก เมื่อโลกมีพลังงานน้อยลง นั้นก็จะเป็นจุดจบ
และเหตุผลเดียวที่พลังงานของโลกหมดไปคือ ความไม่พอของมนุษย์ นั่นเอง
พอดูจบก็ถามตัวเองว่า ทำไมโลกถึงมีพลังงานในตัวเอง เช่น น้ำมัน อากาศ แร่ธาตุ ลม ดิน น้ำ โลกมีสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อรักษาให้เป็นโลก เมื่อโลกมีพลังงานน้อยลง นั้นก็จะเป็นจุดจบ
และเหตุผลเดียวที่พลังงานของโลกหมดไปคือ ความไม่พอของมนุษย์ นั่นเอง
Tuesday, June 7, 2011
ความเป็นไทย
ต่างประเทศ ต่างวัฒนธรรม ต่างถิ่น ต่างเชื้อชาติ ย่อมให้อะไรที่ต่างกัน
ทำไมคนประเทศโน้นถึงมาเที่ยวประเทศนี้ ทำไมคนเหล่านั้นจึงยอมจ่ายเงินเพียงเพื่อต้องการซื้อศาลพระภูมิ ที่เดินไปไหนก็เห็นได้ที่บ้านเรา
เพราะว่าบ้านเรามีดี ที่บ้านเค้าไม่มี
"สิ่งที่สร้างมูลค่าให้สินค้าไทยได้ดีที่สุดคือเรื่องราวความเป็นไทย" นั่นเอง
อุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นสินค้ายอดฮิตของแบรนด์ "ไทยแลนด์" เพราะมีเรื่องราวเบ้ืองหลังน่าสนใจ น่าค้นหาและหาที่ไหนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความไฮเทคหรือกำลังอินเทรนด์ สินค้าแบรนด์ไทยแลนด์ที่หวังจะตีตลาดโลกจึงน่าจะมีเรื่องราวความเป็นไทย หรือนำความเป็นไทยเข้าไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบสมัยใหม่ เพราะคนไทยไม่เก่งเรื่องการผลิตสินค้าปริมาณมาก ๆ ออกมาขายในราคาถูก ๆ อย่างประเทศจีน เราไม่ได้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้แข่งกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย และเราไม่ได้เป็นผู้นำเทรนด์เหมือนอิตาลีหรือฝรั่งเศส
พูดแบบนี้วัยรุ่นอาจหาวใส่ แต่ผมมีสองตัวอย่างที่จะทำให้คุณเห็นด้วยกับผมว่า เรื่องไทย ๆ ไม่น่าเชื่อ อย่างแรกคือ ผมได้ไปชมนิทรรศการออกแบบของคนไทย "Show Hand Design" (จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก) จัดในช่วง Milan Design Week ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากทุกสารทิศต้องเดินทางไปดูเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านของนักออกแบบไทยที่โดดเด่นสูสีกับผลงานจากทั่งโลก ล้วนเป็นงานออกแบบที่ต่อยอดจากวิถีชีวิตไม่เร่งรีบของคนไทย วัสดุไทยที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และศิลปวัฒนธรรมไทยอันละเอียดอ่อน ส่วนผลงานที่พยายามอินเทรนด์มากเกินไป ก็มักจะจมและถูกกลืนไปตามกระแสความนิยมที่ทำให้คนทำอะไรคล้าย ๆ กันออกมา
.
.
.
เราเองก็ภูมิใจในชื่อนิตยสารแบบไทย ๆ บ้าน ๆ เหมือนกัน ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เพราะชื่อของเรามีที่มาที่ไป
(ส่วนหนึ่งจาก "รับแขก" บ้านและสวน มิถุนายน 2554 เจรมัย พิพักษ์วงศ์)
ทำไมคนประเทศโน้นถึงมาเที่ยวประเทศนี้ ทำไมคนเหล่านั้นจึงยอมจ่ายเงินเพียงเพื่อต้องการซื้อศาลพระภูมิ ที่เดินไปไหนก็เห็นได้ที่บ้านเรา
เพราะว่าบ้านเรามีดี ที่บ้านเค้าไม่มี
"สิ่งที่สร้างมูลค่าให้สินค้าไทยได้ดีที่สุดคือเรื่องราวความเป็นไทย" นั่นเอง
อุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นสินค้ายอดฮิตของแบรนด์ "ไทยแลนด์" เพราะมีเรื่องราวเบ้ืองหลังน่าสนใจ น่าค้นหาและหาที่ไหนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความไฮเทคหรือกำลังอินเทรนด์ สินค้าแบรนด์ไทยแลนด์ที่หวังจะตีตลาดโลกจึงน่าจะมีเรื่องราวความเป็นไทย หรือนำความเป็นไทยเข้าไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบสมัยใหม่ เพราะคนไทยไม่เก่งเรื่องการผลิตสินค้าปริมาณมาก ๆ ออกมาขายในราคาถูก ๆ อย่างประเทศจีน เราไม่ได้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้แข่งกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย และเราไม่ได้เป็นผู้นำเทรนด์เหมือนอิตาลีหรือฝรั่งเศส
พูดแบบนี้วัยรุ่นอาจหาวใส่ แต่ผมมีสองตัวอย่างที่จะทำให้คุณเห็นด้วยกับผมว่า เรื่องไทย ๆ ไม่น่าเชื่อ อย่างแรกคือ ผมได้ไปชมนิทรรศการออกแบบของคนไทย "Show Hand Design" (จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก) จัดในช่วง Milan Design Week ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากทุกสารทิศต้องเดินทางไปดูเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านของนักออกแบบไทยที่โดดเด่นสูสีกับผลงานจากทั่งโลก ล้วนเป็นงานออกแบบที่ต่อยอดจากวิถีชีวิตไม่เร่งรีบของคนไทย วัสดุไทยที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และศิลปวัฒนธรรมไทยอันละเอียดอ่อน ส่วนผลงานที่พยายามอินเทรนด์มากเกินไป ก็มักจะจมและถูกกลืนไปตามกระแสความนิยมที่ทำให้คนทำอะไรคล้าย ๆ กันออกมา
.
.
.
เราเองก็ภูมิใจในชื่อนิตยสารแบบไทย ๆ บ้าน ๆ เหมือนกัน ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เพราะชื่อของเรามีที่มาที่ไป
(ส่วนหนึ่งจาก "รับแขก" บ้านและสวน มิถุนายน 2554 เจรมัย พิพักษ์วงศ์)
Monday, June 6, 2011
ตอบคำถาม "มันคืออะไร" กันอย่างไร
พอเราเข้าทำงาน หลาย ๆ คนจะถามเราว่า ทำงานบริษัทอะไร ทำงานอะไร
งานบางอย่างมันก็ไม่ต้องอธิบายมาก แค่บอกว่าทำอะไรก็เข้าใจกันดี แต่ก็มีงานอีกหลาย ๆ อย่างที่ต้องอธิบายกันเป็นชั่วโมง กว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร
คราวหน้าผมจะตอบแบบนี้ดีกว่า
"I will attempt to explain not what .... is, but what it should be, once I’ve met my goals with it."
งานบางอย่างมันก็ไม่ต้องอธิบายมาก แค่บอกว่าทำอะไรก็เข้าใจกันดี แต่ก็มีงานอีกหลาย ๆ อย่างที่ต้องอธิบายกันเป็นชั่วโมง กว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร
คราวหน้าผมจะตอบแบบนี้ดีกว่า
"I will attempt to explain not what .... is, but what it should be, once I’ve met my goals with it."
Wednesday, March 9, 2011
KM ใน เพชรพระอุมา ของพนมเทียน
"ไอ้คอมพิวเตอร์มันดีดชื่อรพินทร์ออกมาทันที" ที่เราใส่คุณสมบัติของคนที่เราต้องการ
- เป็นพรานที่ช่ำชองในพื้นที่แถบลุ่มน้ำสาละวิน
- อายุประมาณ 28-35 ปี
- เป็นพรานที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ และภาษาชาวป่า ชาวเขาได้
- มีความรับผิดชอบสูง
- สามารถเก็บความลับได้อย่างดีเยี่ยม
- ฯลฯ
แต๊ก ๆ ๆ ๆ ติ้งต่อง ... รพินทร์ ไพรวัลย์
ผมไม่ได้แปลกใจใน คอมพิวเตอร์ แต่แปลกใจ และประหลาดใจในตัวพนมเทียนมากกว่า เพราะว่าผู้แต่งทราบถึง Knowledge Management ได้อย่างดีเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
Friday, February 25, 2011
ฤ ว่า email spam ต้องกำจัดด้วยวิธีการของ bloging แบบ FB
เมื่อแรกเริ่มใช้งาน email หรือมีการคิดค้น email คงลืมคิดเรื่อง Spam ไป
หลาย ๆ บริษัท ก็ออกผลิตภัณฑ์ป้องกัน กรอง และตรวจจับ spam ออกมากันมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะเนื่องจาก spam ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจอยากได้ spam ก็เป็นไปได้
การกรอง หรือ กำจัด ขยะ ดูแล้วไม่มีที่สิ้นสุดบน email แต่แนวทางของ social network อย่าง fb ดูแล้วจะสดใสกว่า เพราะขบวนการนั้นบังคับไว้ คือ ก่อนได้รับ comment ต้องเป็นเพื่อนกันก่อน!
และแน่นอน การยกเลิกการใช้งาน email ก็คงยาก แต่อยากจะให้มีการคิดค้นวิธีการให้ดีกว่านี้ อย่างเช่น
หลาย ๆ บริษัท ก็ออกผลิตภัณฑ์ป้องกัน กรอง และตรวจจับ spam ออกมากันมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะเนื่องจาก spam ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจอยากได้ spam ก็เป็นไปได้
การกรอง หรือ กำจัด ขยะ ดูแล้วไม่มีที่สิ้นสุดบน email แต่แนวทางของ social network อย่าง fb ดูแล้วจะสดใสกว่า เพราะขบวนการนั้นบังคับไว้ คือ ก่อนได้รับ comment ต้องเป็นเพื่อนกันก่อน!
และแน่นอน การยกเลิกการใช้งาน email ก็คงยาก แต่อยากจะให้มีการคิดค้นวิธีการให้ดีกว่านี้ อย่างเช่น
- มีการส่ง email แนะนำกันก่อน แล้วบอกยินดีว่า จะติดต่อกัน เป็นเพื่อนกัน
- หากตรวจได้ว่า ข้อความที่ส่งนั้น เป็น spam แล้วนะ ก็ให้ยกเลิกการรับ หรือแจ้งกลับไปได้
หวังว่า คงยังไม่มีใครใช้ fb เป็น email นะครับ!
Monday, January 31, 2011
ขายซอฟต์แวร์อย่างไรดี
นานมาแล้วที่เราต้องซื้อซอฟต์แวร์ เพื่อที่จะมีสิทธิ์ใช้ซอฟต์แวร์ พอเวลาผ่านไปผู้ใช้งานก็รู้ว่าซื้อซอฟต์แวร์แล้วได้แค่ใช้บริการ ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ เหมือนการซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเรียกได้ว่าได้สิทธิ์ใช้งานเท่านั้น
ดังนั้นต่อมาการขายซอฟต์แวร์ ก็เปลี่ยนแนวคิดมาเป็นการขายบริการ กล่าวคือ ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น ไม่ต้องลงทุนซื้อซอฟต์แวร์
อยู่ ๆ ก็มีคนหัวใส "เราก็เปิดตลาดซอฟต์แวร์สิ" ถ้าคุณรู้จัก App Store แล้ว ผมก็บอกได้เลยว่าแนวคิดนี้ทำให้การขายซอฟต์แวร์จะเปลี่ยนไป มันเป็นเหมือนตลาดนัด ที่ผู้ผลิตนำซอฟต์แวร์มาขาย โดยอาศัยโครงสร้างตลาดที่ถูกจัดสรร ด้วยระบบ
แต่ตลาดนัดซอฟต์แวร์ยังคงไม่สามารถครอบคลุมซอฟต์แวร์ได้ทุกประเภท โดยเฉพาะซอฟต์แวร์องค์กร เช่น ERP หรือ CRM
แต่ก็เป็นทางออกที่ดีกับตลาดซอฟต์แวร์สำหรับบุคคล ที่มีอยู่มากมายเกลื่อนกลาด ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
"ซอฟต์แวร์อันละ 5 บาท แต่ถ้าขายได้ทั่วโลก คงสนุกพิลึก"
แล้วถ้านำแนวคิดนี้มาใช้กับพึชผลการเกษตรเมืองไทย จะทำได้ไหม...
ดังนั้นต่อมาการขายซอฟต์แวร์ ก็เปลี่ยนแนวคิดมาเป็นการขายบริการ กล่าวคือ ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น ไม่ต้องลงทุนซื้อซอฟต์แวร์
อยู่ ๆ ก็มีคนหัวใส "เราก็เปิดตลาดซอฟต์แวร์สิ" ถ้าคุณรู้จัก App Store แล้ว ผมก็บอกได้เลยว่าแนวคิดนี้ทำให้การขายซอฟต์แวร์จะเปลี่ยนไป มันเป็นเหมือนตลาดนัด ที่ผู้ผลิตนำซอฟต์แวร์มาขาย โดยอาศัยโครงสร้างตลาดที่ถูกจัดสรร ด้วยระบบ
แต่ตลาดนัดซอฟต์แวร์ยังคงไม่สามารถครอบคลุมซอฟต์แวร์ได้ทุกประเภท โดยเฉพาะซอฟต์แวร์องค์กร เช่น ERP หรือ CRM
แต่ก็เป็นทางออกที่ดีกับตลาดซอฟต์แวร์สำหรับบุคคล ที่มีอยู่มากมายเกลื่อนกลาด ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
"ซอฟต์แวร์อันละ 5 บาท แต่ถ้าขายได้ทั่วโลก คงสนุกพิลึก"
แล้วถ้านำแนวคิดนี้มาใช้กับพึชผลการเกษตรเมืองไทย จะทำได้ไหม...
Subscribe to:
Posts (Atom)