การทำงานของผมนั้นเร่ิมตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมโน้นครับ เป็นเพราะว่าพ่อเป็นคนที่อยากให้ลูกๆ ได้รู้จักการทำงาน จึงเป็นเหตุผลที่ผมได้เข้าไปช่วยงานในหลาย ๆ ที่ แต่ละที่ก็มีบทเรียนต่าง ๆ กัน ซึ่งการไปทำงาน ทำให้มีความเข้าใจในการทำงานมากขึ้น แต่ก็นึกเสียดายที่น้องของผมเค้าไม่ได้มีโอกาสทำงานพวกนี้เลย เพราะเหตุผลอันสุดวิสัย
เมื่อครั้งเรียนมัธยม การทำงานช่วยพ่อนั้น ได้ทำเพราะว่าพ่อพาไป ให้ทำอะไรก็ทำ ขน แบก อะไรก็ทำ เหนื่อยบ้าง เบื่อบ้าง อู้บ้าง แต่ผลที่ได้รับคือ "ต้องทำงาน แล้วงานจะเสร็จ"
พอมาเรียนมหาวิทยาลัย การทำงานแบกหามก็ยังมีอยู่ แต่ว่าน้องลง งานที่ทำคืองานทั่ว ๆ ไปทางคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นปี 3 มีคำถามเข้ามาจากหัวหน้าว่า "จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้เก็บข้อมูลอย่างไรดี?" แล้วคำตอบก็คือ "ต้องไปนั่งอ่านหนังสือเรื่องฐานข้อมูล เป็นบ้านเป็นหลัง" สุดท้ายก็เวลาหมดต้องกลับมาเรียนต่อเพราะมีเวลาแค่ 2 เดือนในการทำงานนั้น ได้แต่แก้ไขปัญหาเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เบื้องต้นเอง แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ถามหละก็ ผมมีระบบให้เลยหละ
ทำงานสองเดือนนั้นทำให้ผมได้ซื้อสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในช่วงเวลานั้น คือ จักรยานภูเขา ผมนำเงินทั้งหมดที่ได้ซื้อเลยครับ! ตอนนี้ยังใช้อยู่เลยทนจริง ๆ :)
ช่วงเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 -3 นี้เอง เป็นช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคฟองสบู่กำลังจะแจก หรือยุคต้มยำกุ้ง ครอบครัวผมก็เข้าไปอยู่ในช่วงนั้นเหมือนกัน เวลานั้นทำให้ผมเรียนรู้อาการของฟองสบู่เลยครับ ตั้งแต่มันเร่ิมเป็นฟอง การได้มาซึ่งงานและเงินของพ่อ การใช้บัตรเครดิตของพ่อ การจ่ายเงินให้ลูกจ้างรายวัน การกินเลี้ยง การไม่วางแผน การจ้างงานที่ไม่ได้ทำสัญญาการจ่ายเงินอย่างเป็นระบบ การงดจ่ายเงินค่าจ้าง จนในที่สุดฟองสบู่เมืองไทยก็ "แตก"
แน่นอนพ่อผมเป็นหนี้บัตรเครดิต ปิดบริษัท เลิกจ้างลูกจ้าง ต้องไปขับแท็กซี่ และก็กลับมารับงานเล็ก ๆ ทำกันไป ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของครอบครัวของเรา ทุก ๆ ด้านก็ว่าได้ บางครั้งที่บ้านต้องถึงกลับ ต้มข้าวกินแบบไม่มีกับข้าว ไปเรียนแบบต้องเดินไป ไม่ได้กินข้าวเช้าและกลางวัน
แต่ผมยังยึดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอคือ "ต้องเรียนให้จบ เพราะอนาคตผมจะเกิดได้ก็ต้องเรียนจบก่อน" ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เรียนและทำมาจะจบลงทันที
และแล้วความพยายามและความตั้งใจก็บันดาลให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นกับชีวิตผม นั่นคือการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต และก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
คราวหน้าค่อยมาดูกันว่าจุดเปลี่ยนที่ว่ามันเปลี่ยนผมได้ซักแค่ไหน.