Tuesday, March 30, 2010

การยึดติด กับการพัฒนาของคนไทย

วันนี้ระหว่างขับรถ ได้ฟังรายการสนธนาทางวิทยุจากคลื่นหนึ่ง ในเรื่องของการใช้งานซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งปัจจุบันในสถานศึกษาหลาย ๆ แห่งได้ใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า SPSS กันอย่างแพร่หลาย  (ผมเคยได้ยินชื่อนี้มานานมาแล้ว แต่ไม่เคยได้จับซักที)

แต่วันนี้ผู้รับเชิญได้นำเสนอซอฟต์แวร์ทางเลือกที่มีชื่อว่า OpenStats ซึ่งมีประโยคที่น่าคิดที่ผู้รับเชิญเอ่ยถึงคือ
"OpenStats มีหลาย ๆ อย่างที่ใช้แทน SPSS ได้ แต่ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป ก็คิดว่าพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องดีกว่า"
และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ

"ในงานทางด้านวิชาการ โดยเฉพาะผลงานของนักศึกษาปริญญาโทหรือปริญญาเอก ผลของชิ้นงานถือว่าสำคัญมากว่าเครื่องมือที่ใช้" 

ผมมาวิเคราะห์ดูแล้ว คิดว่าปัญหาของคนไทยคือไม่อยาก "เรียนรู้" ที่จะเปลี่ยนแปลง ผมเน้นคำว่าเรียนรู้นะครับ!

ตัวอย่างที่เห็นได้ใกล้ตัวผมคือ การใช้งาน Open Office แทน Microsoft Office ที่ทันทีที่ผู้ใช้งานได้ทดลองใช้แล้วหลาย ๆ คนจะบอกว่า มันใช้ยากไม่เหมือน Microsoft Office

แต่ถ้าผมลองให้ผู้ใช้งานที่ไม่ค่อยได้ใช้ MS Office มาก่อนลองใช้งานดู ผลปรากฏว่าไม่เห็นว่าจะบ่นว่าใช้งานยากเลย ก็ใช้งานที่เค้าเคยใช้งานได้ปกติ

Q.E.D ได้ว่า หากคนเราไม่ขีดกรอบทางด้านความคิดหรือยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ มากนัก ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลาย ๆ อย่าง

เช่น

เราจะทำได้หรือ?
ห้องเรียนที่ไม่อยู่ในโรงเรียน
รถเมล์ที่ไม่ต้องซื้อตั๋ว
จะทำแข่งเค้าได้หรือ เราไม่เคยทำ
จะทำไปทำไม? คนอื่นเค้าทำกันแล้ว

Monday, March 29, 2010

ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์

(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ)

"ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ มีแต่แพ้ คือ ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนที่แพ้จะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหายประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง" 

ล้ำลึกจริง
ทรงพระเจริญ

Wednesday, March 24, 2010

Extend User Model in Django

ref: http://docs.djangoproject.com/en/dev/topics/auth/
ในระบบทั่ว ๆ ไปก็ต้องการ Login เพื่อตรวจสอบการใช้งานของผู้ใช้งาน และด้วย Django นั่นมีระบบจัดการ User ให้แล้ว ดังนั้นจะเป็นการดีมากหากเรานำมาใช้งานต่อได้

ใน Django นั้นมีระบบที่เรียกว่า User authentication มาให้ดวย โดยระบบดังกล่าวประกอบด้วย

  1. Users
  2. Permission
  3. Groups
  4. Messages
ใน Class models.User นั่นประกอบด้วยข้อมูลไว้สำหรับทำการ Login แต่ว่าด้วยระบบส่วนใหญ่ที่ผมทำนั้นจะประกอบด้วย Organization, Company, Department, Team ... ดังนั้นก็เลยต้องทำการ extend models นั่นเอง

ผมก็สร้าง app มาใหม่ชื่อว่า user แล้วทำการสร้าง model ดังนี้

from django.contrib.auth.models import User
class UserProfile(models.Model):
  user = models.ForeignKey(User, unique=True)
  code = models.CharField(max_length=100, null=True)
  prefix = models.ForeignKey(Prefix, null=True)
  email2 = models.EmailField(null=True)
  gender = models.ForeignKey(Gender, null=True)
  home_phone = models.CharField(max_length=100, null=True, db_index=True)
  mobile_phone = models.CharField(max_length=100, null=True, db_index=True)
  work_phone = models.CharField(max_length=100, null=True, db_index=True)
  pic_url = models.ImageField(upload_to='emp', max_length=200, null=True)
  signature = models.TextField(null=True)

  def __unicode__(self):
    return self.user.get_full_name()


เท่านี้เราก็จะได้การจัดการ User แล้ว

Tuesday, March 23, 2010

เมื่อหันกลับมาเริ่มทำ Application ด้วย Django เสียที

จากเรื่อง "แปลเอกสาร Django Book ภาษาไทย"

เมื่อก่อนได้เร่ิมใช้งาน Django แต่เห็นว่าการใช้งาน Model ยังติดปัญหาอยู่ แต่มาพักหลังเห็นความคืบหน้าไปมาก ก็เลยตัดสินใจนำ Django มาลอง port งานที่เป็น PHP มาใช้งานดู

เร่ิมด้วยการติดตั้งก่อน

ผมชอบการติดตั้งแบบ Installation Development Version เพียงเพราะว่าเวลามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ง่ายดี มาเริ่มกันเลยครับ

ติดตั้ง Python2.6 ก่อน
เนื่องจากเครื่องที่ผมใช้งานเป็น Mac Snow Leopard 10.6 ซึ่งก็เป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต ดังนั้นเพื่อความสะดวกผมก็ติดตั้งจาก source

$ cd ~
$ mkdir MyApplication
$ wget http://www.python.org/ftp/python/2.6.5/Python-2.6.5.tgz
$ tar xzvf Python-2.6.5.tgz
$ cd Python-2.6.5
$ ./configure --enable-framework --enable-universalsdk=/Developer/SDKs/MacOSX10.6.sdk/ --with-universal-archs=intel
$ make
$ sudo make install

เมื่อเราติดตั้งเสร็จเราก็จะได้ site-packages ที่นี่ /Library/Frameworks/Python.framework/Versions/2.6/lib/python2.6/site-packages

ต่อมาก็ติดตั้ง Django
$ cd ~/MyApplication
$ svn co http://code.djangoproject.com/svn/django/trunk/ django-trunk
$ cd django-trunk
$ sudo ln -s `pwd`/django /Library/Frameworks/Python.framework/Versions/2.6/lib/python2.6/site-packages/django
$ sudo ln -s `pwd`/django/bin/django-admin.py /usr/local/bin

ผมใช้ PostgreSQL เป็นฐานข้อมูล
ต่อมาก็ติดตั้ง psycopg
$ cd ~/MyApplication
$ wget http://initd.org/pub/software/psycopg/psycopg2-2.0.14.tar.gz
$ cd psycopg2-2.0.14
$ sudo /Library/Frameworks/Python.framework/Versions/2.6/bin/python2.6 setup.py install

เท่านี้เราก็เร่ิมใช้งานกันได้แล้ว


Tuesday, March 16, 2010

Toilet Paper


ถ้าหากว่ามีเครื่องนี้ให้บริการอยู่ตามห้างก็ดีสิ แค่นำกระดาษที่ใช้แล้วไปหย่อนใส่ตู้ แล้วก็ได้กระดาษชำระออกมา

จะได้เอากระดาษที่ทำงานไปหย่อนทุกวันเลย

Monday, March 15, 2010

สีของเมืองไทย

ถ้าให้ผมบอกว่าผมเลือกสีอะไร ผมตอบได้เลยว่า

"ผมจะเป็นทุกสี ทุกสีที่เป็นประเทศไทย และทุกสีที่ทำให้เป็นไทย"

25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส (3) ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่

ผมเป็นเด็กที่ชอบการเรียนรู้ ห้องเรียนผมไม่ได้อยู่ในโรงเรียนตลอดเวลา ระหว่างเดินไปโรงเรียน ผมใช้เส้นทางเดินเป็นห้องวิทยาศาสตร์ สังเกต และเรียนรู้ มันมีเรื่องสนุก ๆ มากมายกว่าสมัยนี้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเด็ก ๆ ที่จะเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เพราะจะทำให้เราเป็นคนช่างสังเกต และสนุกที่จะเรียนรู้กับสิ่งนั้น ๆ

ผมเลือกเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นด้านศิลปะในการเรียนควบคู่กันไป ผมเป็นนักดนตรีที่ดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้ผมเรียนรู้บางส่วนของสมาธิจากการเล่นดนตรี ผมพูดทางเสียงดนตรีมากกว่าการพูดด้วยเสียงทางปาก เค้าว่าอย่างนั้น! ถึงกับมีครูบางคนบอกว่า "เด็กคนนี้เป็นคนที่พูดน้อยต่อยหนัก" ก็เห็นจะจริง

ชีวิตอันดูเหมือนเงียบ ๆ นั้นมาจบลงตอนที่ผมเรียนอยู่ปี 4 เทอม 2 จุดเปลี่ยนที่สำคัญของผมอยู่ที่เวลานี้ ด้วยการเป็นคนช่างสังเกต ทำให้ผมเห็นประกาศรับสมัครนักศึกษาที่สนใจที่จะไปเป็นนักเรียนฝึกงานที่เยอรมันนี และแน่นอน ผมสมัครทันที!

เวลาที่เราเห็นโอกาสส่วนมากเราก็จะไม่เห็นอุปสรรคที่จะมีระหว่างทาง นั่นคือเด็กคนหนึ่ง ผมแก้ปัญหาของ curriculum vitae (คำนี้เกิดมาพึ่งเคยได้ยิน) ด้วยการปรึกษาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องภาษาอังกฤษ แถวบ้าน และซ้อมสิ่งที่ผมต้องเตรียมระหว่างสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างดี และแน่นอนผมไม่ติดปัญหาในการสอบสัมภาษณ์แต่อย่างไร อีกทั้งโชคดีที่ก่อนหน้านั้นผมได้ทำงานงานหนึ่งที่อาจารย์มอบหมายได้สำเร็จ จึงทำให้ผมมีเครดิตในตอนสัมภาษณ์อีกนิดหน่อย

พอทุกอย่างผ่าน จึงทำให้ผมได้เป็นนักศึกษา 1 ใน 2 คนที่จะได้ไปเยอรมันนี! อีกคนเป็นรุ่นน้องปี 3

ถ้าหากคุณเป็นคนที่จะได้ไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตด้วยความสามารถคุณเอง จะรู้สึกอย่างไร?  สำหรับผมผมมองเห็นอนาคตข้างหน้าแล้ว "เบียร์" เค้าว่ากันอย่างนั้น ผมไม่เคยมีความรู้ในประเทศนี้เลยนอกจากเบียร์ เบียร์ และก็เบียร์ แต่ตอนนั้นผมกินมันไม่เป็นนะสิ! ดังนั้นผมเริ่มอ่านหนังสือและทำความเข้าใจกับประเทศนี้มากขึ้น ด้วยเวลาอันน้อยนิด

แต่ก็โชคดีของเด็กไทยคนหนึ่ง โครงการนี้เป็นแซนด์วิชโปรแกรม คือ จะมีนักศึกษาของทั้งสองประเทศช่วยกันทำโครงการนี้ และเพื่อนใหม่ของผมเป็นคนเยอรมันนี และผมก็มีรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่ไป คอยสอนเรื่องที่ต้องปฏิบัติต่าง ๆ ตั่งแต่เวลาเดินทางจนกระทั่งเวลาที่อยู่ที่เยอรมันนี พี่เค้าคงกลัวว่าผมจะไปทำป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ที่เยอรมันนีมั้ง

ปัญหาเรื่อง Germany Overview ก็เลยง่ายขึ้น!

เหลือสิ่งเดียวที่ติดปัญหาอยู่คือ ปัจจัย คุณคิดว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีสะตุ้งสตางค์ จะเอาเงินที่ไหนไปเยอรมันนี?

และแล้วเราก็รวบรวมปัจจัยได้ทั้งหมดก็ 6 หมื่นบาท มันมาจากกระปุกและการหยิบยืมญาติที่พอจะหาได้ และก็ต้องสัญญาว่าจะเอามาคืนเมื่อกลับมา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คิดเป็นค่าเครื่องบินก็ราว ๆ 3 หมื่นบาท ที่เหลือ 3 หมื่นก็เป็นเงินติดถุง

ช่วงนี้ผมคิดว่าหลาย ๆ อย่างได้มาอย่างปาฏิหาริย์ มันมาเองครับ เหมือนกับคำสอนที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ให้ไว้

"ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง..."

"จงจำไว้นะ... เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้... ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่... จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"

ผมรู้ภายหลังก่อนที่จะบินไปเยอรมันนีเพียงไม่ก็วันว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหลายที่ผมยืมมานั้นทางบริษัทซีเมนส์ที่ให้ทุนเพื่อโครงการนี้จะจ่ายในภายหลังเมื่อเราไปที่เยอรมันนี ทำให้ผมแน่ใจว่าเงินที่ยืมมานั้นมีทางเอามาคืนแล้ว "การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ" เห็นจะจริง

พ่อผมเป็นคนแรกที่เคยไปต่างประเทศ และผมก็จะเป็นคนที่สอง การเตรียมตัวก็เลยไม่ค่อยมีอะไรต่ืนเต้นมาก แค่คิดว่าจะเตรียมอะไรก็พอ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อ กระเป๋าเดินทางของผมมันเล็กแค่  25 นิ้วเท่านั้นเอง คุณคิดว่าจะเอาอะไรไปบ้างถ้าหากคุณมีกระเป๋าขนาดเท่าโทรทัศน์ สิ่งที่ผมยัดลงไปได้คือ เสื้อยืด ที่ยืดแล้ว 3 ตัว กางเกงยืนเก่า ๆ ของพี่ชาย 1 ตัว เสื้อทำงานแขนยาวอีก 2 ตัว  การเกงในอีกพออาทิตย์หนึ่ง ยาพารา การเกงขาสั้น 2 ตัว (ตอนนี้ผมยังใช้อยู่เลย มันทนจริง ๆ)  แปรงสีฟันอันเก่า ยาสีฟันที่เหลือจากบ้าน ยาสระผมอีกกระปุก เสื้อกีฬากันหนาวบาง ๆ ที่ซื้อมาจากงานกีฬาสัมพันธ์ของคณะวิศวกรรมทั่วประเทศ ่และปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวขนที่เป็นชุดคลุมที่พ่อใช้ พ่อบอกว่าเอาไว้เป็นผ้าห่ม ว่างั้น!

ส่วนของที่เหลือก็คือชุดที่ผมต้องใส่เพื่อเดินทาง พ่อผมเค้าบอกว่าเราต้องแต่งตัวให้ดูดี เดี๋ยวเค้าไม่ให้ขึ้นเครื่อง ผมใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำและรองเท้าหนังที่ผมใส่เรียนนั่นแหละ และสวมเสื้อสูตรตัวเก่าของพ่อสีเทา ๆ ทับอีกตัว เป็นอันว่าดูดีทีเดียว  ... ในสายตาของเด็กบ้าน ๆ คนหนึ่ง


สามหมื่นที่เหลือผมต้องแลกเป็นเงินเยอรมัน Deutshe Mark ที่ดอนเมือง เพราะว่าจะได้มากกกว่าแลกที่เยอรมันนี และก็คุยกับเจ้าหน้าที่คนไทยได้ง่ายกว่า ตามคำที่รุ่นพี่บอกไว้

สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ และน้องน้อยอีกคน แล้วเจอกัน....

แล้วผมก็ก้าวผ่านประตูเข้าไปยังจุดตรวจ...

Good Bye Bangkok... See you then