Monday, March 15, 2010

25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส (3) ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่

ผมเป็นเด็กที่ชอบการเรียนรู้ ห้องเรียนผมไม่ได้อยู่ในโรงเรียนตลอดเวลา ระหว่างเดินไปโรงเรียน ผมใช้เส้นทางเดินเป็นห้องวิทยาศาสตร์ สังเกต และเรียนรู้ มันมีเรื่องสนุก ๆ มากมายกว่าสมัยนี้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเด็ก ๆ ที่จะเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เพราะจะทำให้เราเป็นคนช่างสังเกต และสนุกที่จะเรียนรู้กับสิ่งนั้น ๆ

ผมเลือกเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นด้านศิลปะในการเรียนควบคู่กันไป ผมเป็นนักดนตรีที่ดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้ผมเรียนรู้บางส่วนของสมาธิจากการเล่นดนตรี ผมพูดทางเสียงดนตรีมากกว่าการพูดด้วยเสียงทางปาก เค้าว่าอย่างนั้น! ถึงกับมีครูบางคนบอกว่า "เด็กคนนี้เป็นคนที่พูดน้อยต่อยหนัก" ก็เห็นจะจริง

ชีวิตอันดูเหมือนเงียบ ๆ นั้นมาจบลงตอนที่ผมเรียนอยู่ปี 4 เทอม 2 จุดเปลี่ยนที่สำคัญของผมอยู่ที่เวลานี้ ด้วยการเป็นคนช่างสังเกต ทำให้ผมเห็นประกาศรับสมัครนักศึกษาที่สนใจที่จะไปเป็นนักเรียนฝึกงานที่เยอรมันนี และแน่นอน ผมสมัครทันที!

เวลาที่เราเห็นโอกาสส่วนมากเราก็จะไม่เห็นอุปสรรคที่จะมีระหว่างทาง นั่นคือเด็กคนหนึ่ง ผมแก้ปัญหาของ curriculum vitae (คำนี้เกิดมาพึ่งเคยได้ยิน) ด้วยการปรึกษาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องภาษาอังกฤษ แถวบ้าน และซ้อมสิ่งที่ผมต้องเตรียมระหว่างสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างดี และแน่นอนผมไม่ติดปัญหาในการสอบสัมภาษณ์แต่อย่างไร อีกทั้งโชคดีที่ก่อนหน้านั้นผมได้ทำงานงานหนึ่งที่อาจารย์มอบหมายได้สำเร็จ จึงทำให้ผมมีเครดิตในตอนสัมภาษณ์อีกนิดหน่อย

พอทุกอย่างผ่าน จึงทำให้ผมได้เป็นนักศึกษา 1 ใน 2 คนที่จะได้ไปเยอรมันนี! อีกคนเป็นรุ่นน้องปี 3

ถ้าหากคุณเป็นคนที่จะได้ไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตด้วยความสามารถคุณเอง จะรู้สึกอย่างไร?  สำหรับผมผมมองเห็นอนาคตข้างหน้าแล้ว "เบียร์" เค้าว่ากันอย่างนั้น ผมไม่เคยมีความรู้ในประเทศนี้เลยนอกจากเบียร์ เบียร์ และก็เบียร์ แต่ตอนนั้นผมกินมันไม่เป็นนะสิ! ดังนั้นผมเริ่มอ่านหนังสือและทำความเข้าใจกับประเทศนี้มากขึ้น ด้วยเวลาอันน้อยนิด

แต่ก็โชคดีของเด็กไทยคนหนึ่ง โครงการนี้เป็นแซนด์วิชโปรแกรม คือ จะมีนักศึกษาของทั้งสองประเทศช่วยกันทำโครงการนี้ และเพื่อนใหม่ของผมเป็นคนเยอรมันนี และผมก็มีรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่ไป คอยสอนเรื่องที่ต้องปฏิบัติต่าง ๆ ตั่งแต่เวลาเดินทางจนกระทั่งเวลาที่อยู่ที่เยอรมันนี พี่เค้าคงกลัวว่าผมจะไปทำป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ที่เยอรมันนีมั้ง

ปัญหาเรื่อง Germany Overview ก็เลยง่ายขึ้น!

เหลือสิ่งเดียวที่ติดปัญหาอยู่คือ ปัจจัย คุณคิดว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีสะตุ้งสตางค์ จะเอาเงินที่ไหนไปเยอรมันนี?

และแล้วเราก็รวบรวมปัจจัยได้ทั้งหมดก็ 6 หมื่นบาท มันมาจากกระปุกและการหยิบยืมญาติที่พอจะหาได้ และก็ต้องสัญญาว่าจะเอามาคืนเมื่อกลับมา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คิดเป็นค่าเครื่องบินก็ราว ๆ 3 หมื่นบาท ที่เหลือ 3 หมื่นก็เป็นเงินติดถุง

ช่วงนี้ผมคิดว่าหลาย ๆ อย่างได้มาอย่างปาฏิหาริย์ มันมาเองครับ เหมือนกับคำสอนที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ให้ไว้

"ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง..."

"จงจำไว้นะ... เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้... ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่... จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"

ผมรู้ภายหลังก่อนที่จะบินไปเยอรมันนีเพียงไม่ก็วันว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหลายที่ผมยืมมานั้นทางบริษัทซีเมนส์ที่ให้ทุนเพื่อโครงการนี้จะจ่ายในภายหลังเมื่อเราไปที่เยอรมันนี ทำให้ผมแน่ใจว่าเงินที่ยืมมานั้นมีทางเอามาคืนแล้ว "การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ" เห็นจะจริง

พ่อผมเป็นคนแรกที่เคยไปต่างประเทศ และผมก็จะเป็นคนที่สอง การเตรียมตัวก็เลยไม่ค่อยมีอะไรต่ืนเต้นมาก แค่คิดว่าจะเตรียมอะไรก็พอ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อ กระเป๋าเดินทางของผมมันเล็กแค่  25 นิ้วเท่านั้นเอง คุณคิดว่าจะเอาอะไรไปบ้างถ้าหากคุณมีกระเป๋าขนาดเท่าโทรทัศน์ สิ่งที่ผมยัดลงไปได้คือ เสื้อยืด ที่ยืดแล้ว 3 ตัว กางเกงยืนเก่า ๆ ของพี่ชาย 1 ตัว เสื้อทำงานแขนยาวอีก 2 ตัว  การเกงในอีกพออาทิตย์หนึ่ง ยาพารา การเกงขาสั้น 2 ตัว (ตอนนี้ผมยังใช้อยู่เลย มันทนจริง ๆ)  แปรงสีฟันอันเก่า ยาสีฟันที่เหลือจากบ้าน ยาสระผมอีกกระปุก เสื้อกีฬากันหนาวบาง ๆ ที่ซื้อมาจากงานกีฬาสัมพันธ์ของคณะวิศวกรรมทั่วประเทศ ่และปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวขนที่เป็นชุดคลุมที่พ่อใช้ พ่อบอกว่าเอาไว้เป็นผ้าห่ม ว่างั้น!

ส่วนของที่เหลือก็คือชุดที่ผมต้องใส่เพื่อเดินทาง พ่อผมเค้าบอกว่าเราต้องแต่งตัวให้ดูดี เดี๋ยวเค้าไม่ให้ขึ้นเครื่อง ผมใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำและรองเท้าหนังที่ผมใส่เรียนนั่นแหละ และสวมเสื้อสูตรตัวเก่าของพ่อสีเทา ๆ ทับอีกตัว เป็นอันว่าดูดีทีเดียว  ... ในสายตาของเด็กบ้าน ๆ คนหนึ่ง


สามหมื่นที่เหลือผมต้องแลกเป็นเงินเยอรมัน Deutshe Mark ที่ดอนเมือง เพราะว่าจะได้มากกกว่าแลกที่เยอรมันนี และก็คุยกับเจ้าหน้าที่คนไทยได้ง่ายกว่า ตามคำที่รุ่นพี่บอกไว้

สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ และน้องน้อยอีกคน แล้วเจอกัน....

แล้วผมก็ก้าวผ่านประตูเข้าไปยังจุดตรวจ...

Good Bye Bangkok... See you then

1 comment:

Anonymous said...

อืม..... น่าติดตาม ๆ