Thursday, June 19, 2008

เดอะท๊อปซีเครต ฉบับโปรแกรมเมอร์

เดอะท๊อปซีเคร็ต ฉบับโปรแกรมเมอร์

หลังจากหาเวลาว่างได้ก็ขอกลับเข้ามาเขียนต่อ ...

ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ได้เคยอ่านหนังสือเรื่อง "ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" มาก่อน จึงทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างง่าย และเข้าใจได้รวดเร็ว

เห็นที่ตั้งชื่อเรื่องว่า "เดอะท๊อปซีเคร็ต ฉบับโปรแกรมเมอร์" นั้นก็เป็นผลมาจากการทำงานของผมเอง ที่แต่ก่อนนั้นเริ่มทำจากสิ่งที่ไม่เคยทำ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เริ่มเข้าขั้น เจออุปสรรค์มาก็มาก ล้มเหลวบ้าง ประสบความสำเร็จก็เยอะ ดังนั้นจึงอยากเล่าประสบการ์ณในส่วนนี้ให้ฟัง

แต่เดิมด้วยความท้าทายที่จะทำงานประเภท Coding อยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงเริ่มด้วยการขวนขวายหาความรู้ และตื่นเต้นทุกครั้งที่ดำเนินการสิ่งใดสำเร็จ  และสนุกสนานกับการแก้ปัญหาต่าง ๆ นาๆ ยิ่งที่คนอื่นบอกว่ายาก ยิ่งอยากทำการแก้ปัญหานั้น สิี่งที่แปลกใจคือ ทำไมคนอื่นเค้าถึงทำไม่สำเร็จแต่เรากลับทำได้ 

พอได้อ่านหนังสือนี้จึงได้มีความเข้าใจ สิ่งที่เราถามตัวเองว่าทำไม 

คำถาม  ทำไมเราถึงทำสิ่งต่าง ๆ ได้ โดยที่บางคนทำไม่สำเร็จ
ตอบ เพราะผมคิดถึงความสำเร็จ และเห็นความสำเร็จก่อนที่จะทำอยู่แล้ว


คำถาม แล้วหนทางในการทำในส่ิงเหล่านั้นให้เป็นไปได้หละ มาจากไหน
คำตอบ ผมขอให้ตัวเองหาแนวทางให้การดำเนินการต่าง ๆ เจอ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน

คำถาม หลังจากแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้วรู้สึกอย่างไร
คำตอบ  รู้สึกว่าตัวเองก็ทำได้


และนั้นก็คือ เชื่อ ขอ และ รับ ตามหนังสือ เดอะท๊อปซีเคร็ต



Sunday, May 4, 2008

คน it กับการประหยัดพลังงาน

หลาย ๆ คนเขียนวิธีการประหยัดพลังงานของคนทำงาน IT ไว้หลายอย่าง เช่น การปิดหน้าจอเมื่่อไม่ได้ใช้งาน การยกเลิก Screen Saver 

แต่ผมขอเสนอการประหยัดอีกรูปแบบหนึ่งคือ ให้คน IT ทำงานให้ตรงเวลา เพราะว่าปกติการทำงาน IT นั้น บ่อยครั้งที่มีการทำงานล่วงเวลา Over Time หรือ OT ที่รู้จักกัน  เวลา IT ทำงานนั้นส่วนมากต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่สิ้นเปลือง เช่น ต้องทำงานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ บางทีต้องมีเครื่องฟอกอากาศ หรือไม่อย่างน้อยต้องมีพัดลม  และอาจยังมีการทำงานด้วยเครื่องที่มีหลายหน้าจออีกด้วย เพราะว่าทำงานหน้าจอเดียวไม่ทัน

ดังนั้นหากคนที่ทำงานรู้จักบริหารเวลาอย่างเหมาะสม เช่น จำกัดการเวลาในการแก้ปัญหา จำกัดเวลาในการอ่าน email แค่นี้เราก็จะลดการใช้งานพลังงานไปได้ไม่มากก็น้อย

Monday, April 21, 2008

Software <= Service

หลาย ๆ คน คงได้เคยใช้งาน Software เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า Software คืออะไร 

นานมาแล้วเรารู้จัก Software ผ่านทาง Microsoft คือ มันฟรี (อยู่ดี ๆ ก็มีให้ใช้) แต่พอหลัง ๆ ก็คุ้นกับคำว่า license, source code, maintenance

เมื่่อก่อนเราจับต้องได้แต่ Windows, Word, Excel แต่พอทำงานเราจะรู้จักกับ Software อีกหลายตัว เช่น CRM, ERP, Accounting, Billing, BI ดูแล้วมันไม่ยักกะมียี่ห้อแฮะ

ยิ่งช่วงปีหลัง ๆ มานี่ยิ่่งแปลกไปกันใหญ่ เราใช้ Software ที่เรียกว่า google แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่า Google คือ อะไร มันเป็น Software หรือว่าอะไรกันแต่

โดยส่วนตัว ให้ความหมายของ Software ว่า บริการ (Service) ในความหมายขณะนี้นะครับ เพราะว่าในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนไป 

เมื่อก่อนเราซื้อ software ที่เห็นง่าย ๆ คือ พวกเป็นกล่อง หรือ เป็น CD ซื้อมาแล้วก็ติดตั้งได้เลย หลังจากนั้นก็ self service หรือถ้าต้องการให้ใครมาช่วยติดตั้งก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่น้อยคนมาที่จะได้เจอกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ 

เดี๋ยวนี้เราซื้อ Oracle, SAP มาติดตั้ง CRM, KM , ERP หรืออะไรอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง Software เหล่านั้นสิ่งที่ติดตามมาคือ implementation ซึ่งก็คือ after sale expense นั้นเอง โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้บางทีมากกว่าค่า software อีก

หลัง ๆ นี้ได้มีโอกาสเข้าไปนำเสนอ software ให้กับหลาย ๆ องค์กร สิ่งที่ถูกถามมาก ๆ คือ คุณจะดำเนินการทำให้ทางเราใช้งานได้อย่างไร มีประโยชน์กับองค์กรของเราอย่างไร มีบริษัทอื่น ๆทีทำธุรกิจเหมือนเราเค้าใช้กันหรือไม่ 

คำถามเหล่านี้ก็คือ service นั้นเอง บางทีเราก็ถูกถามว่า คุณสามารถติดตั้งระบบให้กับเราโดยใช้ software ยี่ห้อนี้ได้หรือไม่ เค้ากำลังจะมองหา service จากเรานั่นเอง

กลับมามองที่ google อีกที ถ้าถามหาผลิตภัณฑ์ google แทบไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้่ว่าเค้าเสนอขายอะไร ไม่มีกล่อง แล้ว google ขายอะไรกันแน่

สิ่งที่ google หยิบยื่นให้เราคือ บริการ เค้าให้เราเข้าใช้บริการเค้าจาก search engine แล้วก็ email ซึ่งเป็นบริการส่วนบุคคลก่อน จากนั้นก็รุกด้วย บริการระดับองค์กร  เราจะเห็นว่า ไม่มีกล่อง แต่เราต้องจ่ายจากค่าบริการนั่นเอง

พอมาพูดถึงเมื่องไทย คนไทยมีนิสัยบริการ ดังนั้นถ้านำ software มาให้บริการจะดีไม่น้อยเลยที่เดียว

ดังนั้นผู้ขาย software ต้องทำการปรับปรุง วิธีการขาย จากสินค้าเป็นบริการนั้นเอง


Thursday, April 17, 2008

รถถูกชน

ใช่แล้วครับรถถูกชน จอดไว้เฉย ๆ ก็ถูกชนได้ เหตุการณ์สอนให้รู้ว่าต้องใจเย็น ๆ ก่อน เพราะว่าถูกชนไปแล้วทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอประกัน ถ้าใจร้อนจะทำอะไรไม่ถูก

ขั้นตอนมีดังนี้
  1. เดินไปอย่ารีบร้อน ถ้าเป็นฝ่ายถูก
  2. ทำสีหน้าให้เรียบร้อย แต่รีบเดิน ระวังถูกรถคันอื่นชนขณะเดินไปดู
  3. อย่าเริ่มต้นด้วยการด่า ให้เฝ้าดูคู่กรณีก่อนว่ามีใบขับขี่หรือเปล่า
  4. ดูอารมณ์คู่กรณีและคอยฟัง คำขอโทษ เพราะว่าเราไม่ผิด
  5. จากนั้นก็ถามเค้าว่าเรียกประกันฯ หรือยัง จากนั้นเราก็เรียกประกันฯ ของเราบ้าง
  6. แล้วก็นั้งรอ หรือถ้าคู่กรณีท่าทางนิสัยดีก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย เผื้อรู้จักกันไว้
  7. เมื่อประกันฯ มาถึง ให้ทำการดูว่าเค้าตรวจสภาพรถเราอย่างไรละเอียดหรือเปล่า มีอะไรที่เราดูว่าผิดปกติจากรถที่เราเคยเห็นก็ให้แจ้งให้ทราบ เพราะว่าตัวแทนประกันฯ จะทำการบันทึกรายละเอียดความเสียหาย แต่ถ้าตำแหน่งที่เกิดอุบัติเหตุ มีรอยอะไรที่เราอยากให้ประกันฯ ซ่อมให้ก็ให้แจ้งไปตามตรงเลยว่าเราอยากให้เค้าช่วย เขียนไปด้วย 
  8. จากนั้นทางตัวแทนประกันฯ จะถามหาบัตรประจำตัวผู้ขับขี่ของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อนำไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานการเคลมประกัน
  9. กรณีที่เราเป็นฝ่ายผิด เราอาจจะต้องใช้เวลาแจ้งเหตุการณ์ให้ตัวแทนประกันฯ ทราบว่าเราขับอย่างไรถึงผิด เพราะว่ามันอาจจะถูกก็ได้ และอย่าเอาสิ่งที่เราคิดว่าถูกไปเถียงกับเค้า ให้ฟังเหตุผลว่า ทำไม
  10. ถ้ารถท่ีชนกันนั้น จูบกันอยู่ หรือ มีการชนที่ติดพัน อย่าทำการถอยรถออกจนกว่าจะมีประกันมาวิเคราะห์เหตุการณ์ก่อน หรือตำรวจมาตรวจก่อน เพราะอาจทำให้รูปคดีผิดไป
  11. หลังจากนำรถแยกออกจากกันแล้ว ก็ให้ทดสอบรถ โดย การขับ ระบบไฟฟ้า สีรถ พวงมาลัย ฯลฯ
  12. ถ้าเรียบร้อยดี ก็ดีไป
  13. จากนั้นก็แยกกันด้วยดี

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถึงเราจะทำดีแล้ว แต่ก็ให้คอยระวังได้ด้วย

Wednesday, April 16, 2008

แปลเอกสาร Django Book ภาษาไทย

การได้มีส่วนร่วมกับสังคมใดสังคมหนึ่งตั้งแต่เริ่มแรก มันทำให้เราได้รู้การเปลี่ยนแปลง การเติบโต ในส่วนตัวนั้นปัจจุบันมีชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนสังคม opensource ส่วนจะทำการสร้าง opensource ขึ้นมาสักอย่างดูจะยากและก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเริ่มเอง ดังนั้นจึงหาสังคมที่พีึงมีการเริ่มต้น จะได้เกาะติดได้ถนัด

ระยะหลังหมกมุ่นอยู่กับ framework, web framework หลายค่าย แต่ที่ติดใจเห็นจะเป็น web framework ของ Python นี่แหละ ไม่รู้ทำไม ก็แค่ชอบ ดังนั้นจึงมุ่งหา web framework ของ python ดู (อยากได้เป็น web funwork มากกว่า)

ก็ตัดสินใจอยู่นานระหว่าง TurboGear กับ Django  , ดู TurboGear จะมีคนนิยมมากกว่า อาจเป็นเพราะว่าคนใช้งานกันมานานแล้ว เช่น www.TinyErp.com ครั้งแรกที่ติดตั้ง Application นี้ ก็คิดว่ามันคงตกม้าตายตอนที่ต้องทำเป็น web application แต่หลังจากติดตั้ง web eTiny จึงทำให้รู้ว่า มันดีอย่างนี้นี่เอง

Django ดูจะเป็นอะไรที่ใหม่ เล็ก ๆ พอศึกษาได้ และก็คิดว่าเริ่มต้นไปด้วยกันน่าจะดีกว่า ทุกวันนี้ก็เลยใช้เวลาส่วนหนึ่งทำการแปล เอกสารจาก www.djangobook.com เพื่อไว้ให้น้อง ๆ ที่อยากอ่านภาษาไทยบ้าง 

เวอร์ชั่นแรก ๆ นี่อ่านยากชะมัด ดูแล้วไม่สนุกเท่าไหร่ แต่ว่าขอแปลให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วจะมาเกาสำนวนให้อีกที

ตอนนี้ติดปัญหาอยู่ว่า แปลเสร็จแล้วจะส่งให้คนอื่น ๆ ใช้อ่านได้อย่างไรดี 

Friday, March 7, 2008

lycos และ Amazon CEO

เมื่อซักครู่โทรศัพท์ไปคุยกับพี่ที่ทำงานเก่า ที่ผันตัวเองไปเป็นผู้นำเที่ยวตามเกาะต่าง ๆ ปรากฏว่าเค้าได้เจอกับ เจ้าของ lycos และ amazon  search engine ซึ่งกำลังหา Project Manager อยู่ และ java programmer อีก 5 คน ทำงานในเมืองไทย น่าสนแฮะ


แต่ที่น่าดีใจคือ เดียวนี้ประเทศไทยสามารถดึงดูด นักท่องเที่ยวประเภท IT ได้ด้วย และการหางานพนักงานอาจจะต้องไปหากันตามเกาะแก่ง ต่าง ๆ

Tuesday, March 4, 2008

ขอตอบคำถามที่ว่า เขียน blog ทำไมไว้ที่นี่ครับ

เนื่องจากมี blog "การเขียน blog ช่วยพัฒนาสังคมของคุณให้ดีขึ้น จึงขอเขียนตอบดังนี้ครับ

เคยอ่านหนังสือของ linus เค้าเขียนไว้ว่า  เหตุที่ Finland คิดค้นมือถือนั้นน่าจะมาจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมคือ อากาศที่หนาวทำให้การไปพบปะผู้คนภายนอกนั้นจะลำบาก อีกทั้งคน Finland ไม่ค่อยกล้าที่จะพูดคุยกันแม้จะนั้งอยู่โต๊ะเดียวกันก็ตาม นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องใช้มือถือคุยกัน


ส่วนของไทยนั้นผมคิดว่าเหตุการใช้มือถือนั้นคงเป็นเพราะตลาด เพราะคนอื่น ๆ เค้าใช้กันเลยต้องใช้ด้วยไม่อย่างนั้นตกยุคและส่วนมากไม่ได้ใช้ไปในการทำธุรกิจ แต่ใช้ในการบันเทิงเสียมากกว่า เช่น sms หรือ พวก ringtone หรือพวก multimedia หรือก็ vote 


ในขณะที่มหาวิทยาลัยในทางยุโรปนั้นใช้ SMS ในการชำระค่าเทอม ชำระสินค้าต่าง ๆ หรือพวกเรียกรถเมล์มารับเป็นต้น 

วกกลับมาเรื่อง blog ในส่วนตัวคิดว่า การเขียน blog จะช่วยให้เราสามารถเพิ่มทักษะในการเขียนได้ดีขึ้น และสามารถเรียบเรียงถ้อยคำได้เมือเวลาเราได้ไปพูดกับบุคคลอื่น และเป็นการเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ อีกทั้งเป็นการสร้างความรู้ใหม่ ๆได้โดยไม่ต้องรอตึพิมพ์ 


และพอมาถึงคนไทย ผมคิดว่า เป็นการดีที่จะทำให้เราทราบว่าเค้าคิดอะไร และอยากพูดอะไร เช่น เวลาประชุมไม่พูด แต่เวลาเลิกประชุมกันแล้ว กลับพูด ซึ่งเห็นได้ทั่ว ๆ ไป