Thursday, September 8, 2011

หลง...พลังงาน หรือเปล่า?

ขณะนี้ดูเหมือนว่าพลังงานเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ...

นานมาแล้วมนุษย์ใช้ชีวิตเฉพาะกลางวัน ส่วนกลางคืนพักผ่อน  แต่เมื่อมีการคิดค้นการดึงพลังงานจากโลกมาใช้งานได้ มนุษย์เร่ิมมีการใช้ชีวิต ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ได้ปล่อยให้โลกได้สะสมพลังงานบ้าง

กว่าจะรู้ก็ตัวก็เข้าทางโค้งสุดท้ายแล้ว....

ถ้าหากพูดถึงพลังงานนั้น ในความคิดของผมคิดว่า หลาย ๆ อย่าง อยู่ได้ด้วยพลังงาน อันจับตัวกันเป็นจุด เป็นกลุ่ม จนเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จุดกำเนิดพลังงานสิ่งแรก ๆ นั้นคืออะไร...

เอาเป็นว่า เราเห็นวัตถุเริ่มมีพลังงานก็แล้วกัน ... ดวงอาทิตย์!

ดวงอาทิตย์ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีพลังงานในตัวสูงมาก ยาวนาน และในชีวิตของเราอันสั้น คงคิดได้ว่าพลังงานจากดวงอาทิตย์นั้นมีอย่างไม่จำกัด ไม่รู้ว่าจะหมดลงเมื่อใด

ดวงอาทิตย์ให้พลังงานกับสิ่งอื่น ๆ อันได้แก่ โลกเราด้วย เมื่อโลกได้รับพลังงานมา โลกพยายามรักษาการมีพลังงานนั้นไว้ โดยรักษาสมดุลย์ของการได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์และการใช้พลังงานไปกับการอยู่รอด...

เมื่อมีความสมดุลย์อันเหมาะสม สิ่งต่าง ๆ ก็ถือกำเนิดขึ้นในโลก รวมทั้ง มนุษย์ด้วย  โดยอาศัยพลังงานจากดวงอาทิตย์ และจากโลก

ในยุคของสัตว์ครองโลกที่มีก่อนมนุษย์ อันยาวนาน  ยังไม่พบว่ามีสิ่งใดใช้พลังงานของโลกอย่างมากมายเท่ามนุษย์ ...

สรรพสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ รับพลังงานจากอาทิตย์ จากโลก จากสิ่งอื่น ๆ เท่าที่ต้องการแล้วหยุด อาจด้วยการบริโภค หรืออาศัยกันอย่างสมดุลย์...

แต่มนุษย์ไม่ มนุษย์ไม่พยายามรักษาความสมดุลย์อันนั้นไว้เหมือนสรรพสัตว์ อื่น ๆ  มนุษย์เรียนรู้การดึงพลังงานจาก สรรพสัตว์ จากโลก แล้วไม่ส่งกลับคืน ทำให้ สรรพสัตว์ไม่สมดุลย์ โลกไม่สมดุลย์  เมื่อพลังงานที่โลกได้รับมาจากดวงอาทิตย์ ไม่เพียงพอต่อการรักษาสมดุลย์ อันเนื่องมาจากมนุษย์ ดึงพลังงานจากโลกมามากเกินไป เช่น พลังงานความร้อนจากโลก พลังงานจากน้ำมัน พลังงานจากน้ำ  และยังไม่พอ มนุษย์ ยังนำพลังงานจากโลก เช่นนำมันไปพัฒนาเพื่อความอยู่รอดโดย คืนของเสียที่โลกนำไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ เช่น พลาสติก  ในระยะอันพอเหมาะ

โลกเริ่มจะหาสมดุลย์ใหม่... ขยับแผ่นดิน สร้างมรสุม  และอื่น ๆ เพื่อยังคงพลังงานไว้

มนุษย์อย่างเราควรทำอย่างไรดี ?

Thursday, September 1, 2011

ประสบการณ์รถไฟฟ้า ในรอบ 6 เดือน

ไม่ได้ใช้บริการรถไฟฟ้า ทั้ง MRTA และ BTS มาเป็นเวลานาน ปรากฏว่าวันนี้คาดการณ์ผิดถนัด!

ด้วยต้องโดยสารจากบางซื่อไป ชิดลม ในขณะนั้น จึงตัดสินใจว่า จะนั่งรถ MRTA ไปต่อ BTS โดยมี 2 ทางเลือกคือ


  1. MRTA จากบางซื่อ (18 บาท) ไปต่อ BTS ที่ หมอชิต (35 บาท)
  2. MRTA จากบางซื่อ (37 บาท) ไปต่อ BTS ที่ อโศก (20 บาท)

ณ ขณะนั้น 7 โมงเช้า และด้วยความต้องการที่ต้องอ่านหนังสือระหว่างการโดยสาร เลยตัดสินใจเลือกเส้นวิธีการเดินทางที่ 2

ปรากฏว่า ผิดถนัด! เมื่อ MRTA จอดที่สถานี จัตุจักร ผู้โดยสาร ลงจาก MRTA เพื่อไปต่อ BTS น้อยมาก น้อยกว่าผู้โดยสารที่ต้องการโดยสาร MRTA ซะอีก ทำให้ขบวนที่ผมโดยสารแน่นตั้งแต่สถานีนี้ แถมยังไม่สามารถอ่านหนังสือตามที่คาดหวังได้อีก 

เมื่อผ่านไปสถานีต่อ ๆ มา ก็ปรากฏว่า มีผู้โดยสารหลายคนไม่สามารถเข้าโดยสารขบวนที่ผมโดยสารอยู่ได้ ผิดกับแต่ก่อนที่ผมสามารถขับรถมาจอดที่ สถานี ลาดพร้าวแล้วใช้บริการ MRTA ได้ในเที่ยวแรก (นี่ดีที่ผมตัดสินใจไปขึ้นที่ สถานีบางซื่อแทน)

พอมาถึงสถานีอโศก ก็นึกว่าหลาย ๆ คนจะลงที่สถานีนี้และไปใช้บริการ BTS เหมือนผม แต่ปรากฏว่า ผมต้องขอทางออกจากขบวนนี้ เกือบไม่รอด!

ผมก็สรุปว่า คนส่วนใหญ่คงต้องการไปลงที่ สถานีศาลาแดง และไม่ต้องการต่อรถไฟ จาก MRTA ไปยัง BTS เพราะว่าการเดินทางไม่สะดวก

ทำไม?
  1. รถไฟฟ้า MRTA ไม่พอในช่วงเวลานั้น
  2. คนส่วนใหญ่ไม่อยากต่อรถ
  3. มีผู้โดยสารจำนวนมากที่ต้องการไปสถานีปลายทางแถว ศาลาแดง (ไม่คิดทำงานนอกเมืองบ้างหรือ)

Monday, August 8, 2011

หน้าที่ของพลเมืองดีมีอะไรบ้าง

ต่อจากบทความที่แล้ว ยังกินใจต่อมาคือ


หน้าที่ของพลเมืองดีมีอะไรบ้าง จากคำสอนของพระพุทธเจ้า
  1. ไม่คบชู้สู่ชาย (สู่สาวด้วย) มัวเมาหมกมุ่นอยู่ในทางเพศ
  2. ไม่ใจแคบเสพสิ่งเลิศอยู่คนเดียว
  3. ไม่พร่าเวลาด้วยการถกถ้อยที่เลื่อนลอยไร้สาระ
  4. ประพฤติดี มีวินัย ตั้งอยู่ในศีล 5 
  5. ปฏิบัติหน้าที่สมำ่เสมอสมบูรณ์
  6. ไม่ประมาท กระตือรือร้นทุกเวลา
  7. มีวิจารณญาณ ทำการด้วยปัญญา
  8. สุภาพ อ่อนโยน ยินดีรับฟังคนอื่น
  9. สงบเสงี่ยม รักความประณีตสะอาดเรียบร้อย
  10. พูดจาน่าฟัง อ่อนหวาน ไม่หยายคาย
  11. มีน้ำใจสงเคราะห์มิตรสหาย
  12. เผื่อแผ่แบ่งปันคนทั่วไป
  13. รู้จักจัดการงานให้เรียบร้อยได้ผลดี
  14. บำรุงพระสงฆ์ผู้ทรงศีลธรรม
  15. ใคร่ในธรรม รักความสุจริต
  16. อ่านมาก ฟังมาก รู้วิชาของตนเชี่ยวชาญ
  17. ชอบสอบถามค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ

นิทานลาชอบเสือก กับ รู้จักหน้าที่ของตน

วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์ ฉบับหนึ่งแล้ว ได้ความคิด ดี ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ จึงขอนำมาไว้ที่นี่เพื่อเตือนใจ

เจ้าของเลี้ยงลากับหมาไว้ตัวหนึ่ง ให้ทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน หมาเอาไว้เฝ้าบ้าน เท่าไล่ขโมย ส่วนลาเอาไว้บรรทุกสิ่งของ วันหนึ่งขณะเจ้าของบ้านนอนหลับอยู่บนบ้าน ลาได้ยินเสียงขโมยกำลังจะปีนเข้าบ้านเจ้านายของตน ความคริงแล้วเจ้าหมาก็ได้ยินเหมือนกัน แต่รอจังหวะให้ขโมยมาใกล้ ๆ จะได้กระโดดงับ

 "เฮ้ย ตูบ ขโมยกำลังขึ้นบ้านเจ้านายเห่าปลุกเจ้านายซีวะ" ลาเสนอ
 "เออน่า รู้แล้ว" หมาตอบแล้วก็ยังเงียบอยู่
 "ไอ้ตูบ ไอ้ห่า เห่าซิวะ มึงไม่รู้จักทำหน้าที่" ลาตำหนิ
 "เออ มึงอย่าเสือก กูรู้หน้าที่ของกู" หมาตอบ
 "มึงไม่เห่า กูเห่านะโว้ย" ลาบอก

หมาลำคาญก็ตอบว่า "เชิญพ่อมึงเห่าสิ" นึกว่าลามันพูดเล่น ที่ไหนได้ มันแหกปากร้องเสียงดัง

ไม่หนีเฉพาะขโมย เจ้าของบ้านกำลังหลับฝันหวานอยู่ สะดุ้งตื่นขึ้นมา โมโหสุดขีด คว้าท่อนไม้ได้ก็ลงมากระหน่ำศีรษะลาตายทันที

"สมน้ำหน้า เสือกเรื่องของคนอื่น" ได้ตูบรำพึงเบา ๆ แต่ก็อดสงสายลามันไม่ได้ ก็มันอยากเกิดมาเป็นลาโง่นี่น่า

จากมติชน ฉบับที่ 12202 วันที่ 7 สิงหาคม 2554

Wednesday, June 29, 2011

ประเวศเสนอสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ ๑๐ ประการ


บทความนี้เขียนก่อนวันเลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ด้วยความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมไทย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีกลียุคที่มีการฆ่ากันตายเป็นแสนๆ คน หลายฝ่ายเรียกร้องรัฐบาลใหม่ให้สร้างความปรองดอง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรฟังเสียงเรียกร้องจากสังคม และทำงานร่วมกันกับสังคม สร้างความปรองดองอย่างสร้างสรรค์ ให้สังคมไทยก้าวข้ามความติดขัด เจริญรุดหน้าไปสู่อนาคตที่ดี ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอ สิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ ๑๐ ประการ คือ
๑. ตั้งรัฐบาลแห่งความปรองดอง โดยเชิญนักการเมืองจากพรรคต่างๆ รวมทั้งพรรคคู่แข่ง เข้าร่วมรัฐบาลแห่งความปรองดอง ควรถือว่าขณะนี้ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์พิเศษ ที่ต้องการความเสียสละและลดทิฐิมานะ เข้ามาร่วมมือกัน นายกรัฐมนตรีควรขอร้องอดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่านเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน สามารถเข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรีได้ ในการนี้ถ้านายกรัฐมนตรีทำงานร่วมกับภาคสังคมที่สนใจกิจการบ้านเมือง จะทำให้มีพลังสร้างสรรค์มากขึ้น
๒. รับทำยุทธศาสตร์การสื่อสารสัมมาวาจา ที่แล้วมาการสื่อสารเชิงเกลียดชัง ก่อให้เกิดความแตกแยกที่พาสังคมไทยไปจ่อที่ขอบเหวแห่งมิคสัญญีกลียุทธ ยุทธศาสตร์การสื่อสารที่ดีสามารถเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดจิตสำนึกได้
๓. ตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ จะใช้ คอป. ชุดเดิมที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน หรือจะตั้งขึ้นใหม่ได้ มีเทคนิคกระบวนการปรองดองที่โลกใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งที่อื่น เช่น แอฟริกาใต้ มาแล้วที่สามารถนำมาใช้ได้ ถ้ารัฐบาลและสังคมเข้าร่วมในการกระบวนการนี้อย่างอย่างจริงจัง ก็น่าจะนำไปสู่การปรองดอง และสร้างชีวิตจิตใจใหม่ได้
๔. สนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง ถ้าชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งสามารถจัดการตัวเองได้ จะดูแลแก้ปัญหาต่างๆ ไปได้ ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องพุ่งเข้ามาท่วมท้นส่วนกลาง ลดความขัดแย้งระหว่างอำนาจรัฐรวมศูนย์กับวัฒนธรรมท้องถิ่นลง รัฐบาลมีเวลาทำงานเชิงรุกต่างๆ รวมทั้งเป็นการสร้างผู้นำท้องถิ่นเก่งๆ จำนวนมาก ซึ่งในอนาคตจะขึ้นมาเป็นผู้นำระดับชาติ
๕. สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ สัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความร่มเย็นเป็นสุข และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรระดมกำลังจากทุกภาคส่วนร่วมสร้างสัมมาชีพในทุกหมู่บ้าน ตำบล เมือง จังหวัด ส่งเสริม SSE (Small Social Enterprise) ให้เชื่อมโยงผู้บริโภคในเมืองกับผู้ผลิตในชนบทที่ทำการเกษตรยั่งยืนให้เกื้อกูลกัน พลังผู้บริโภคจะไปสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ
๖.   จัดสรรที่ทำกินให้เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานอย่างทั่วถึง เรามีเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานกว่า ๔๐ ล้านคน คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่พอกินพอใช้ และขาดความมั่นคงในชีวิต ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มั่นคงแล้วประเทศจะมั่นคงได้อย่างไร ถ้าเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานมีที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและผลิตอาหารกินเอง ไม่ต้องมากครอบครัวละ ๒ ไร่ก็ได้ จะเป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยมั่นคง ต่อไปอาหารจะมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้ได้ของคนจนจะเพิ่มตามไม่ทัน จะเป็นเหตุให้เกิดจลาจล การที่คนจนมีที่ดินจะทำให้เกิดความมั่นคงในเรื่องที่อยู่อาศัยและอาหาร ภาคอุตสาหกรรมจะแข่งขันได้ดีขึ้น เพราะถ้าผู้ใช้แรงงานมีที่อยู่อาศัยและมีอาหารกิน จะลดความกดดันเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ถ้าผู้ใช้แรงงานต้องเสียค่าที่พักและซื้ออาหารกิน ค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท ก็ไม่พอกินพอใช้ แต่ถ้ามีที่อยู่อาศัยและมีอาหารกินเสียแล้ว ถ้าได้ค่าแรงวันละ ๑๕๐-๒๔๐ บาท ก็เท่ากับเป็นเงินเหลือเก็บ การมีที่ดินจะสามารถทำให้มีสระน้ำของครอบครัวกระจายทั่วแผ่นดิน เก็บน้ำได้มหาศาล ป้องกันน้ำท่วม แก้ความแห้งแล้ง สามารถปลูกไม้ยืนต้นได้จำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเป็นป่ากลับคืนมา ลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ  และเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงกล่าวว่า การจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานจำนวนมากที่สุด จะเป็นรากฐานที่ส่งผลต่อๆไปให้ประเทศมีความมั่นคง รัฐบาลมีวิธีการได้หลายวิธีที่จะกระจายที่ดินทำกินให้คนจน ซึ่งจะมีประโยชน์ยั่งยืน มากกว่าการแจกเงิน
๗. เชื่อมโยงเศรษฐกิจมหภาคกับเศรษฐกิจชุมชนให้เกื้อกูลกัน  เศรษฐกิจชุมชนนั้นเป็นเศรษฐกิจบูรณาการ  เป็นเศรษฐกิจยั่งยืน เศรษฐกิจมหภาคเป็นเศรษฐกิจพลัง ถ้าเชื่อมโยงให้เกื้อกูลกันจะทำให้เกิดทั้งเศรษฐกิจพอเพียง และเศรษฐกิจที่แข่งขันด้วย ทำให้ประเทศมั่นคงและมั่นคั่งไปพร้อมกัน
๘. สร้างแบรนด์ประเทศไทย ต้องส่งเสริมคนไทยที่มีศักยภาพให้สามารถ สร้างความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ทำนอง The best of Thailand in…. เช่น ในการกีฬา ดนตรี ศิลปะ ธุรกิจ การพยาบาล วิชาการ ฯลฯ  คนไทยที่มีศักยภาพมีอยู่ แต่ขาดโอกาสและการสนับสนุน รัฐบาลควรส่งเสริมความเป็นเลิศระดับโลกของคนไทยในด้านต่างๆ ซึ่งจะนำความภาคภูมิใจในตัวเองมาให้คนไทย The best of Thailand จะกลายเป็นแบรนด์ที่ภาคธุรกิจจะเข้ามาใช้เพื่อการแข่งขัน ภาคธุรกิจไทยอาจไม่มีกำลังพอที่จะสร้างแบรนด์ที่ไปแข่งขันได้ระดับโลกแต่รัฐมีเครื่องมือมาก ควรจะต้องเข้ามาสร้างแบรนด์ประเทศไทย
๙.  สร้างประเทศไทยให้เป็นมหาอำนาจทางสันติภาพ ประเทศไทยมีพื้นฐานที่จะเป็นผู้สร้างสันติภาพ เพิ่งมาเสียศูนย์ไปเมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลและทุกภาคส่วนควรสนใจเรื่องการสร้างสันติภาพทั้งภายใน และภายนอกอย่างจริงจัง การมีสันติภาพเป็นทุนอย่างสำคัญในการพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเศรษฐกิจด้วย ด้วยที่ตั้งของประเทศไทยควรจะเป็นศูนย์กลางของการผนึกความเข้มแข็งของสุวรรณภูมิ หรืออาเซียน ประเทศอาเซียนรวมกันมีประชากรราว ๖๐๐ ล้านคน เป็น ๒ เท่าของสหรัฐอเมริกา ถ้าผนึกกันให้เข้มแข็งจะเป็นขั้วอำนาจขั้วหนึ่ง ที่ช่วยลดความตึงเครียดในโลก และเป็นพลังสร้างสันติภาพ ถ้ามีระบบการท่องเที่ยวสุวรรณภูมิครบวงจร ทุกประเทศจะได้ประโยชน์ร่วมกัน หมดปัญหาเรื่องใครกินแดนใคร เพราะใช้ประโยชน์ร่วมกัน คนไทยต้องคิดใหม่ ก้าวข้ามความขัดยังกับเพื่อนบ้านไปสู่ความเป็นมหาอำนาจทางสันติภาพร่วมกัน
๑๐. ยุทธศาสตร์ทางปัญญา สังคมมีความหลากหลายและซับซ้อน การที่จะรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศได้สังคมไทยต้องมีปัญญา การที่จะทำตามข้อเสนอ ๙ ข้อข้างต้นได้ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก รัฐบาลควรปรึกษาผู้รู้และดำเนินยุทธศาสตร์ทางปัญญาได้อย่างจริงจัง ยุทธศาสตร์ทางปัญญานี้ประกอบด้วยอย่างน้อย ๓ องค์ประกอบเข้ามาผนวกกัน คือ เรียนรู้ การวิจัย และการสื่อสาร ควรต้องทำให้ได้ทั่วถึง และรวดเร็ว ซึ่งอาจจะถึงเป็นการอภิวัฒน์ทางปัญญา

      นี้คือเรื่องดีๆ ๑๐ ประการที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ แม้เป็นเรื่องยากแต่ถ้าผนึกคนไทยทุกภาคส่วนเข้าร่วมมือกัน ก็อยู่ในฐานะที่จะทำได้  ถ้าคนไทยรวมพลังกันก็สามารถทำเรื่องดีๆ อื่นๆ ได้อีกมาก 
ในยามนี้ประเทศชาติวิกฤตสุดๆ คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ควรจะเป็นเพียงนักการเมืองเท่านั้น
         ดังที่มีผู้พูดว่านักการเมืองคิดถึงตนเอง
         แต่รัฐบุรุษหรือรัฐสตรีคิดถึงประเทศชาติ.-

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20110629/397944/ประเวศเสนอสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ควรทำ-๑๐-ประการ.html

ในส่วนตัวผมเห็นด้วยกับแนวคิดเหล่านี้ และอยากให้เป็นไปได้ด้วย ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนอยากเห็นคนไทยมีความสุข และส่วนดี ๆ ของคนไทยทุกคนมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แค่แสดงสิ่งเหล่านั้นออกมา หันด้านที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันออกไป เริ่มจากจุดที่สามารถเริ่มทำด้วยกันได้ก่อน 
สาธุ: ตอนนี้ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มแล้ว ผมอยากให้คุณเริ่มด้วยกันกับผมบ้าง

สร้างให้พอใช้ ที่เหลือค่อยนำไปแบ่ง ไปขายหารายได้เก็บไว้

วงเวียนของการทำมาหากินของชาวไทยส่วนใหญ่อยู่กับเกษตรกรรม มาแต่ไหนแต่ไร และเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ หลาย ๆ ธุรกิจที่เฟื่องฟู และยั่งยืน ยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการทำมาหากินแบบ ไทย ๆ แค่เปลี่ยนวิธีการไปเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น อาหาร การท่องเที่ยว เสื้อผ้า ยารักษาโรค

ประเทศไทยมีอะไรที่หลาย ๆ ประเทศไม่สามารถมีได้ หรือเรียกให้ดีคือ มีทุน ทุนทางด้านทรัพยากรที่ดี แต่เนื่องด้วยทรัพยากรที่มากมาย หากจัดการไม่ดีแล้ว ย่อยส่งผลไม่ดีได้ด้วย ดังเช่น ทุกวันนี้ เราจะพบว่า เกษตรกร ยังต้องซื้อผลผลิตเกษตร มาทานเอง แม้ว่าจะสามารถผลิตเองได้


เขียนข้อความนี้แล้วทำให้นึกถึง ข้อความนี้

“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...”


มีพอแล้ว ที่เหลือค่อยขาย





Friday, June 10, 2011

Home กับพลังงาน

เมื่อดู Home จาก http://www.homethemovie.org/ แล้วพอจะพบว่า มนุษย์มีความไม่พออยู่มากมาย จริง ๆ  มนุษย์ไม่เคยพอในสิ่งที่มี เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโลก เครื่องนุ่งห่ม

พอดูจบก็ถามตัวเองว่า ทำไมโลกถึงมีพลังงานในตัวเอง เช่น น้ำมัน อากาศ แร่ธาตุ ลม ดิน น้ำ  โลกมีสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อรักษาให้เป็นโลก เมื่อโลกมีพลังงานน้อยลง นั้นก็จะเป็นจุดจบ

และเหตุผลเดียวที่พลังงานของโลกหมดไปคือ ความไม่พอของมนุษย์ นั่นเอง

Tuesday, June 7, 2011

ความเป็นไทย

ต่างประเทศ ต่างวัฒนธรรม ต่างถิ่น ต่างเชื้อชาติ ย่อมให้อะไรที่ต่างกัน

ทำไมคนประเทศโน้นถึงมาเที่ยวประเทศนี้ ทำไมคนเหล่านั้นจึงยอมจ่ายเงินเพียงเพื่อต้องการซื้อศาลพระภูมิ ที่เดินไปไหนก็เห็นได้ที่บ้านเรา

เพราะว่าบ้านเรามีดี ที่บ้านเค้าไม่มี


"สิ่งที่สร้างมูลค่าให้สินค้าไทยได้ดีที่สุดคือเรื่องราวความเป็นไทย" นั่นเอง


    อุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นสินค้ายอดฮิตของแบรนด์ "ไทยแลนด์" เพราะมีเรื่องราวเบ้ืองหลังน่าสนใจ น่าค้นหาและหาที่ไหนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความไฮเทคหรือกำลังอินเทรนด์ สินค้าแบรนด์ไทยแลนด์ที่หวังจะตีตลาดโลกจึงน่าจะมีเรื่องราวความเป็นไทย หรือนำความเป็นไทยเข้าไปประยุกต์ใช้กับการออกแบบสมัยใหม่ เพราะคนไทยไม่เก่งเรื่องการผลิตสินค้าปริมาณมาก ๆ  ออกมาขายในราคาถูก ๆ อย่างประเทศจีน เราไม่ได้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้แข่งกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย และเราไม่ได้เป็นผู้นำเทรนด์เหมือนอิตาลีหรือฝรั่งเศส

    พูดแบบนี้วัยรุ่นอาจหาวใส่ แต่ผมมีสองตัวอย่างที่จะทำให้คุณเห็นด้วยกับผมว่า เรื่องไทย ๆ ไม่น่าเชื่อ อย่างแรกคือ ผมได้ไปชมนิทรรศการออกแบบของคนไทย "Show Hand Design" (จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก) จัดในช่วง Milan Design Week ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากทุกสารทิศต้องเดินทางไปดูเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านของนักออกแบบไทยที่โดดเด่นสูสีกับผลงานจากทั่งโลก ล้วนเป็นงานออกแบบที่ต่อยอดจากวิถีชีวิตไม่เร่งรีบของคนไทย วัสดุไทยที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และศิลปวัฒนธรรมไทยอันละเอียดอ่อน ส่วนผลงานที่พยายามอินเทรนด์มากเกินไป ก็มักจะจมและถูกกลืนไปตามกระแสความนิยมที่ทำให้คนทำอะไรคล้าย ๆ กันออกมา

    .
    .
    .
    เราเองก็ภูมิใจในชื่อนิตยสารแบบไทย ๆ บ้าน ๆ เหมือนกัน ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เพราะชื่อของเรามีที่มาที่ไป


(ส่วนหนึ่งจาก "รับแขก" บ้านและสวน มิถุนายน 2554 เจรมัย พิพักษ์วงศ์)

Monday, June 6, 2011

ตอบคำถาม "มันคืออะไร" กันอย่างไร

พอเราเข้าทำงาน หลาย ๆ คนจะถามเราว่า ทำงานบริษัทอะไร ทำงานอะไร

งานบางอย่างมันก็ไม่ต้องอธิบายมาก แค่บอกว่าทำอะไรก็เข้าใจกันดี แต่ก็มีงานอีกหลาย ๆ อย่างที่ต้องอธิบายกันเป็นชั่วโมง กว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร

คราวหน้าผมจะตอบแบบนี้ดีกว่า


"I will attempt to explain not what .... is, but what it should be, once I’ve met my goals with it."

Wednesday, March 9, 2011

KM ใน เพชรพระอุมา ของพนมเทียน

"ไอ้คอมพิวเตอร์มันดีดชื่อรพินทร์ออกมาทันที" ที่เราใส่คุณสมบัติของคนที่เราต้องการ


  • เป็นพรานที่ช่ำชองในพื้นที่แถบลุ่มน้ำสาละวิน
  • อายุประมาณ 28-35 ปี
  • เป็นพรานที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ และภาษาชาวป่า ชาวเขาได้
  • มีความรับผิดชอบสูง
  • สามารถเก็บความลับได้อย่างดีเยี่ยม
  • ฯลฯ

แต๊ก ๆ ๆ ๆ ติ้งต่อง ... รพินทร์ ไพรวัลย์


ผมไม่ได้แปลกใจใน คอมพิวเตอร์ แต่แปลกใจ และประหลาดใจในตัวพนมเทียนมากกว่า เพราะว่าผู้แต่งทราบถึง Knowledge Management ได้อย่างดีเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว


Friday, February 25, 2011

ฤ ว่า email spam ต้องกำจัดด้วยวิธีการของ bloging แบบ FB

เมื่อแรกเริ่มใช้งาน email หรือมีการคิดค้น email คงลืมคิดเรื่อง Spam ไป

หลาย ๆ บริษัท ก็ออกผลิตภัณฑ์ป้องกัน กรอง และตรวจจับ spam ออกมากันมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะเนื่องจาก spam ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจอยากได้ spam ก็เป็นไปได้

การกรอง หรือ กำจัด ขยะ ดูแล้วไม่มีที่สิ้นสุดบน email  แต่แนวทางของ social network อย่าง fb ดูแล้วจะสดใสกว่า เพราะขบวนการนั้นบังคับไว้ คือ ก่อนได้รับ comment ต้องเป็นเพื่อนกันก่อน!

และแน่นอน การยกเลิกการใช้งาน email ก็คงยาก แต่อยากจะให้มีการคิดค้นวิธีการให้ดีกว่านี้ อย่างเช่น


  • มีการส่ง email แนะนำกันก่อน แล้วบอกยินดีว่า จะติดต่อกัน เป็นเพื่อนกัน
  • หากตรวจได้ว่า ข้อความที่ส่งนั้น เป็น spam แล้วนะ ก็ให้ยกเลิกการรับ หรือแจ้งกลับไปได้

หวังว่า คงยังไม่มีใครใช้ fb เป็น email นะครับ!

Monday, January 31, 2011

ขายซอฟต์แวร์อย่างไรดี

นานมาแล้วที่เราต้องซื้อซอฟต์แวร์ เพื่อที่จะมีสิทธิ์ใช้ซอฟต์แวร์ พอเวลาผ่านไปผู้ใช้งานก็รู้ว่าซื้อซอฟต์แวร์แล้วได้แค่ใช้บริการ ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ เหมือนการซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือเรียกได้ว่าได้สิทธิ์ใช้งานเท่านั้น

ดังนั้นต่อมาการขายซอฟต์แวร์ ก็เปลี่ยนแนวคิดมาเป็นการขายบริการ กล่าวคือ ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น ไม่ต้องลงทุนซื้อซอฟต์แวร์

อยู่ ๆ ก็มีคนหัวใส "เราก็เปิดตลาดซอฟต์แวร์สิ" ถ้าคุณรู้จัก App Store แล้ว ผมก็บอกได้เลยว่าแนวคิดนี้ทำให้การขายซอฟต์แวร์จะเปลี่ยนไป มันเป็นเหมือนตลาดนัด ที่ผู้ผลิตนำซอฟต์แวร์มาขาย โดยอาศัยโครงสร้างตลาดที่ถูกจัดสรร ด้วยระบบ

แต่ตลาดนัดซอฟต์แวร์ยังคงไม่สามารถครอบคลุมซอฟต์แวร์ได้ทุกประเภท โดยเฉพาะซอฟต์แวร์องค์กร เช่น ERP หรือ CRM

แต่ก็เป็นทางออกที่ดีกับตลาดซอฟต์แวร์สำหรับบุคคล ที่มีอยู่มากมายเกลื่อนกลาด ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง

"ซอฟต์แวร์อันละ 5 บาท แต่ถ้าขายได้ทั่วโลก คงสนุกพิลึก"

แล้วถ้านำแนวคิดนี้มาใช้กับพึชผลการเกษตรเมืองไทย จะทำได้ไหม...