Thursday, December 30, 2010

วังน้ำเขียว เปลี่ยนไปตามสายลม

สถานที่ที่ผมชอบคือ ป่าไม้ ภูเขา แนวธรรมชาติ เวลาไปไม่ทำอะไรมากกว่าการไปพักผ่อน และดูว่าชาวบ้านเค้าทำอะไรกัน บ้างก็ไปตลาดนัด บ้างก็ไปแวะทานข้าว หรือไม่ก็ไปนั่ง ชิว ๆ บางทีแค่ขับรถไปดูเฉย ๆ ไม่ได้ไปพักหรือว่าพำนักอะไร  ความรู้สึกเหมือนไปเยี่ยมบ้านหลังหนึ่งเท่านั้น

วันนี้ก็อีกครั้งที่ได้แวะไปวังน้ำเขียว จำได้ว่าไปมาแล้ว 5 ปี ไปทุกปี ครั้งแรกไปเพราะว่าอ่านหนังสือแล้วก็ขับไปทันทีไม่ได้วางแผนอะไร เค้าบอกว่าเป็นแหล่งที่มีโอโซนเป็นอันดับที่ 7 ของโลก ก็ไป ครั้งนั้นทำให้รู้จักกับ village farm and winery เพราะว่าหาข้าวข้างทางกินไม่เป็น เห็นเค้าบอกว่า wine ก็เข้าไปก่อน ไม่คิดอะไรมาก แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะว่าน้องที่มาต้อนรับเค้าบอกว่า "อากาศที่นี่จะประมาณ 20 องศาในช่วงหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาว ก็หนาวเป็นธรรมดา"

ครั้งที่สอง ก็เลยขอพิสูจน์ว่าเมษาที่ว่าร้อน ๆ ที่วังน้ำเขียวเป็นอย่างไร แล้วก็เจอกับความจริงที่ว่า มันเป็นอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ และถ้ามีโอกาสได้แวะมาช่วงหน้าร้อนแล้วมีฝนตกพร่ำ ๆ ก็จะเจอกับหิ้งห้อย แบบว่าไม่ต้องไปที่อัมพวาก็มี ที่น่าขำคือ วันนั้นน้องที่ไปด้วยมันดันไม่เคยเห็นหิ้งห้อยตัวเป็น ๆ แวะมาทักทาย!

ครั้งหลัง ๆ ก็เริ่มเสนอให้บริษัท จัดไปบ้าง จัดไปตอนเดือนธันวาคม กะว่าให้หนาวสมใจ แล้วก็จริง พวกเรานั่งเล่นไพ่กันภายใต้อากาศต่ำกว่า 17 องศา แต่ก็ไม่ใครอยากเข้านอน เพราะว่ามันหนาวและเย็นสบายจริง ๆ

ครั้งหลังสุดไปตอนธันวาคม อีกนั่นแหละ แต่ว่าคราวนี้มันเปลี่ยนไปค่อนข้างรวดเร็ว ลองนึกถึงเมืองชนบท แล้วจู่ ๆ ก็มีรีสอร์ท แบบเชียงใหม่ผุดขึ้นมามากมาย ผู้คนเข้ามาซื้อสินค้ากันมากมายจนไม่มีที่จอดรถ คนขายไม่ได้หน้าตาเป็นคนท้องถิ่น สินค้าเริ่มเป็นสินค้าที่มาจากถิ่นอื่น หรือบางทีเราก็จะเห็นว่าเป็นสินค้าที่เขียนว่า product of China

ชาวบ้านบอกว่า น่าจะเป็นการจัดการของคนถิ่นอื่น เป็นการนำวิธีการของคนกรุงเทพ หรือเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เข้ามา แบ่งพื้นที่ออกเป็นช่อง แล้วก็จัดสรร ให้คนเข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อขายของ มีการนำขบวนเที่ยวรถทัวมาจอด ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อสินค้า ที่บางที่ก็เป็นสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าท้องถิ่น

อันที่จริงแล้ว "วังน้ำเขียว" ในความหมายผม ส่วนใหญ่ผมหมายถึงในส่วนที่เป็น ต.ไทยสามัคคี ไม่ใช่เส้นที่จะเดินทางไปเขาแผงม้า เขาใหญ่ ผมก็ขอแบ่งเอาง่าย ๆ ว่า เส้นชนบทที่ผมรัก และเส้นไฮโซ

เส้นชนบท หมายถึงทางเข้าไปยัง ต. ไทยสามัคคี  ส่วนเส้นไฮโซ เป็นเส้นที่จะผ่านไปยังเขาแผงม้าสู่เขาใหญ่

ปัจจุบันนี้ ปากทางเข้าไปยัง ต.ไทยสามัคคี นั้นก็เริ่มเป็นเส้นไฮโซแล้ว ก็ขอให้เป็นแค่ทางเข้าแล้วกัน อย่าไปถึง ตัว ตำบล เลย เสียดายมาก

ส่วนเส้นไฮโซ นั้นก็ขอให้เป็นการสร้าง รีสอร์ทให้สำหรับคนที่รักสบายแบบคนชาวกรุง ที่ชอบสถานที่ที่เมื่อมาพักก็ได้อารมณ์แบบฝรั่ง

ถ้าจะให้สรุปจากภาพที่เห็น ก็คงสรุปได้ว่า "คนที่ไปเที่ยว นอกจากจะไปเที่ยวอย่างเดียวแล้ว ยังนำความเป็นคนเที่ยว คนกรุง เข้าไปเปลี่ยน เข้าไปหาผลประโยชน์กัน จนทำให้ท้องถิ่นนั้น ๆ เปลี่ยนไป"

ผมยังไม่อยากเห็น วังน้ำเขียว ที่ผมชอบ เป็นเหมือน เชียงใหม่ ภูเก็ต เกาะช้าง เกาะเสม็ด ปาย ผมอยากให้วังน้ำเขียว ยังเป็นวังน้ำเขียวเหมือนเดิม

เป็นอย่างที่ผมขอจดไว้อย่างนี้  

เมื่อใกล้ถึงเป้าหมาย เราจะเห็นดอกหญ้าที่สูงกว่ารถเรียงสองข้างทางจนวันนี้ยังไม่รู้ว่าจะแวะถ่ายรูปอย่างไร
ตรงที่กลับรถข้างหน้า ถ้าเลี้ยวขวา ก็เข้าไปกินน้ำองุ่นที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมา
ถ้ากลับรถก็ชิดซ้ายไว้เข้าซอยแรกก็จะเป็นทางเข้าสู่เส้นทางที่หวังไว้
ประมาณกลางซอย จะเจอกับป้ายของป้ายแนวตั้งที่สูงกว่าชั้นที่ 3 ของตึกในกรุง
แวะถ่ายรูปที่นั่นหน่อย
รีบขึ้นรถไปต่อ
เนินสูง ๆ ต่ำ ปกคลุมไปด้วยหญ้า ผ่านให้เห็นเป็นระยะ ๆ 
อ้อ... ปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างรถสิ
ตรงไปเรื่อย ๆ
สวนผักอยู่ด้านซ้าย เห็นเป็นทิว "เค้าปลูกผักหน้าหนาวกัน"
ทางด้านขวา "ร้านนี้คิดได้ไงว่าต้องเปิดร้านนมสด" อิจฉา
แล้วก็เห็ด ๆ ๆ 
ร้านยังเป็นรูปเห็ดเลย สั่งเลย
กะเพราเห็ด เห็ดเทมปุระ ไข่เจียวเห็ด ต้มยำเห็ด น้ำพริก กับผักสดเป็นกาละมัง
ข้าวเปล่าอีกจานครับ
ทำไมผักไม่เห็นขมเลย (น้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้น) 
ผานั้นเรากำลังจะไป "ผาเก็บตะวัน" เราจะไปเก็บตะวันกัน
อ่างเก็บน้ำนี้คงเป็นน้ำไว้ใช้ของหมู่บ้าน
รั้วสีฟ้านี่เป็นทุ่งของใครหนอเหมือนมีไว้เลี้ยงม้า
นี่ไงเค้าปลูกผักที่นี้เหมือนกัน
ถ้าที่หอเอนปิซ่า เค้าทำท่าดันหอ ที่นี่เค้าทำท่าแบกอาทิตย์ จุ๊บสุริยา
ทันถ่ายรูปพอดี
อาบน้ำ
หนาว ๆ ๆ (มีใครอยากไม่อาบน้ำบ้าง อยากมีแนวร่วม)
นอน
กรน
หนาว
ไม่อยากตื่น
ขออีกเดียว 
ยังไม่อยากกลับ
มาอีกเมื่อไหร่ดี
วังน้ำเขียว ...​ที่รัก

Friday, December 24, 2010

Tuesday, November 9, 2010

รถไฟความเร็วสูงงงง

รถไฟที่ประเทศไทยนั้น มีประวัติมายาวนานมาก จำได้ว่าตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ร.5
ผมไม่รู้หรอกว่ารถไฟสมัยนั้นเป็นอย่างไรแต่ก็คาดเดาได้ว่า ความรู้สึกมันคงเหมือนกันกับรถไฟชินคันเซน สมัยนี้  โอ้ว... ขอบคุณพระองค์ท่านที่นำทางไว้อย่างดี

ด้วยความจำอันเลือนลาง ครั้งแรกที่ผมนั่งรถไฟ ดูเหมือนว่าจะเป็นสมัยเด็กเล็ก ๆ เสียเงินค่าโดยสารประมาณ 3 บาท แล้วนี่ก็ผ่านไปแล้วหลายปี ดูเหมือนว่ารถไฟไทย ก็ยังเป็นรถไฟไทยเหมือนเดิม ประมาณว่าหากผมหลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ภายหลังตื่นขึ้นมาก็ยังสามารถโดยสารรถไฟได้อย่างไม่ขวยเขิน

แล้วข่าวที่คิดว่าดีก็คืบคลานเข้ามา "รถไฟความเร็วสูง" จะมีการพิจารณาการสร้าง แต่ที่น่าเสียดายคือคนไทยไม่ได้คิด แต่กลับมีคนคิดและทำให้ซะงั้น ไม่รู้ว่าเค้าหวังอะไร แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรซะเลย

ผมอยากให้เส้นทางที่รถไฟผ่านสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศหลาย ๆ ด้าน เช่น

  • การท่องเที่ยว ทั้งเชิงธุรกิจ และเชิงวัฒนธรรม (ลองนึกดูถ้าหากทางรถไฟผ่านทุ่งข้าวที่เขียวขจี ชาวนากำลังทำนา ทำสวน)
  • ท่องเที่ยวเหมือน Euro Train,
  • ขนส่งสินค้า ทั้งส่งออก หรือ นำเข้าสินค้า หรือวัตถุดิบต่าง ๆ
  • เรียนรู้ผ่านการนั่งรถไฟไปหลาย ๆ ประเทศ
  • ความฝันตอนเด็กกับอันนี้ (รถด่วนอวกาศ 999)

สิ่งที่ไม่อยากได้คือ อาคารสำนักงาน หรือคอนโดฯ ที่ติดกับสถานนี ไม่รู้จะมีไปทำไม!


Thursday, October 28, 2010

ตอบคำถามแบบเป็นคำถาม

เมื่อเราไม่อยากตอบคำถามนั้นตรง ๆ แต่หากต้องการทราบว่าผู้ถามนั้นต้องการคำตอบแบบไหน เราก็ลองตอบแบบเป็นคำถามกลับไปซิ ...


นั้นเป็นข้อคิดหนึ่งที่ได้จาก "เพชรพระอุมา"

ภายหลังจากดารินนั่งเงียบอยู่นาน ก็เอ๋ยถามจอมพรานว่า "คุณได้ยินอะไรนั่นไหม" จอมพรานนิ่งอยู่สักพักแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า "คุณหญิงได้ยินอะไรครับ"

 การตอบแบบนี้อาจไม่ดีในทุกกรณีไป แต่ก็เอาไว้ใช้บ้างเป็นบางเวลา จะดีนักแล

Tuesday, October 26, 2010

ความแตกต่างอย่างลงตัว

เมื่อวันเสาร์ดูรายการทางช่อง Thai PBS แขกรับเชิญเป็นศิลปินส์ ได้ให้แนวคิดดี ๆ สำหรับกรุงเทพฯ หรืออาจเป็นเมืองไทยเลยก็ว่าได้

"กรุงเทพฯ ความแตกต่างอย่างลงตัว"

ผมได้ยินคำนี้แล้วก็เห็นด้วยทันที เรามาลองดูกันว่าอะไรที่เป็นดังนี้บ้าง


  1. ร้านอาหารข้างทาง ที่มีคนขับเบนส์ และคนปั่นจักรยาน มานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน  ทั้งสอนแบบได้ความอร่อยเหมือนกัน (อันนี้มาจากรายการ)
  2. นักเรียน กับนักธุรกิจ ขึ้นรถไฟฟ้า เวลามีโทรศัพท์ดัง มันเป็น iPhone เหมือนกัน
  3. เรามีเสื้อหลากหลายสี แต่ก็บริจาคสิ่งของช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
แล้วคุณเห็นอะไรเหมือนผมบ้าง

Friday, October 22, 2010

Contents

เมื่อวานไปนำเสนอบริการและสินค้าให้ลูกค้าฟัง แต่กลับได้แนวคิดดี ๆ มาเยอะเลย (การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ )

นึกถึงเมื่อก่อนยังเด็กเล็กนัก ผมก็จำได้ว่า ช่องโทรทัศน์ที่เราดูกันก็มี 3,5,7,9,11 เท่านั้น ที่เป็นช่องดูฟรี พอผ่านมาอีกระยะก็มี itv, thai pbs, nation channel ...  แต่เดี๋ยวนี้เรามีดาวเทียมแล้ว ดาวเทียมนี่ทำให้ผมเห็นว่าเราสามารถดูรายการได้มากมาย จำนวนช่องเกือบเป็นร้อยเลย....

และเมื่อก่อนนี้เราถูกบังคับดู คือ เค้าฉายอะไรเราก็ดู อย่างมากก็เปลี่ยนหนีไปไม่กี่ช่อง เดียวนี้เปลี่ยนได้เกือบเป็นร้อย แต่ที่น่าเสียดายคือ ไม่รู้เพราะว่ามันฟรีหรือเปล่า เลยมีแต่ MV, หนังเก่า ๆ หรือไม่ก็รายการขายสินค้าเป็นหลัก เราหรืออยากดูประเภทพวกสารคดี ก็เห็นแต่ NHK, กบนอกกะลา, คนค้นคน (ค. คน เครื่องผมไม่แฮะ) แล้วก็รายการอะไรที่มาตอนดึก ๆ ของ Thai PBS  นี่แหละเป็นที่พึ่งในยามนี้

ที่จริงแล้วผมอยากดู Discovery Channel, Blue Planet, Earth มากกว่า แต่ดันต้องเสียเงินเป็นแพ็กเก็จนี่สิ ทำให้ตัดสินใจไม่ได้ซักที

สิ่งที่ผมอยากดูนั้นก็ไม่ใช่อะไร มันเป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเรานี่เอง แต่เป็นรอบตัวที่ไกลสักหน่อย คือเป็นของต่างประเทศ ซะส่วนมาก

ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยได้แนวคิดว่า ถ้ามีบริษัทไทยที่ทำเกี่ยวกับพวกนี้ก็คงจะดี


  1. ที่มาของแม่น้ำเจ้าพระยา
  2. พระนครศรีอยุธยา
  3. กรุงเทพมหานคร 
  4. การปลูกข้าวของคนไทย
  5. ผืนป่าของประเทศไทย
  6. ฟ้าใต้ทะเล
  7. ชาวเขา ชาวเรา
ผมว่าแค่เรื่องที่กล่าวมานี้ก็อาจทำกันได้หลายตอนแล้ว แล้วเราก็ยังสามารถขายไปยังต่างประเทศได้ด้วย เหมือนกับ Discovery Channel นี่แหละ



ผมว่า Contents ของประเทศไทย เรามีเยอะมาก แต่ขาดการสนับสนุนมากกว่า เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นคนผลิตหรือคนบริโภค ต่างให้ความสัมคัญกับ Contents ของต่างประเทศมากไป เช่น

  • เรารู้ว่าเกาหลีมีกิมจิ
  • ญี่ปุ่นมีน้ำพุร้อน และปลาดิบ
  • ยุโรปมีปราสาทกับนักบอล
  • อเมริกามี iPhone
  • แอฟริกามีทุ่งหญ้า และสัตว์ป่า
แต่เราลืมดูไปว่า "เรามีดีอะไร"

Monday, October 18, 2010

ผมทานข้าวอยู่นะครับ

วันนี้นั่งรับประทานอาหารกลางวันที่เพิงข้างทางร้านประจำ ....

ผมกำลังป้อนข้าวคำที่ 3 เข้าปาก และเคี้ยวด้วยความหิวและอร่อย ปรากฏว่า อยู่ ๆ ก็มีชายแปลกหน้า เอ๋ยขึ้นมาว่า

ชายแปลกหน้า "สวัสดีครับคุณทำงานในพาราไดซ์พาร์ค หรือไม่?"
ผม "ผมกำลังทานข้าวอยู่ครับ"
ชายแปลกหน้า "ผมถามว่าทำงานที่พาราไดซ์พาร์ค หรือเปล่า?"
ผม "ผมกำลังทานข้าวอยู่ครับ"

แล้วจากนั้นชายแปลกหน้าก็ทำท่าไม่พอใจ แล้วก้มลงมาดูที่หน้าอกเสื้อผม อาจกำลังมองหาโลโก้บริษัท

ผมเลยโบกมือแล้วก็เน้นย้ำว่า "ผมกำลังกินข้าวอยู่ครับ"

พี่แกท่าทางไม่พอใจแล้วก็เดินไปถามโต๊ะอ่ื่นต่อไป แล้วต่อมาก็มาทำหน้าตาไม่พอใจผมอีก...

ผมทำอะไรผิดหรือเนี่ย....!

Thursday, October 7, 2010

ข้าวไทย อีกจุดอ่อนหนึ่งที่กลายเป็นจุดแข็งของคนอื่นไป

หลังจากอ่านบทความนี้ "วิกฤติส่งออกข้าวไทยในอาเซียน" ผมก็ต้องขอมาบันทึกความเห็นไว้หน่อย

ที่จริงแล้วเรื่องข้าว ๆ นี่ผมว่าไม่น่าจะมีใครกินขาดคนไทยได้ เพราะว่าเราทำกันมานาน ตั้งแต่ผมจำความได้ก็ได้ยินว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" นั่นแสดงว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่กำเนิด แต่พอเรียนประถม ก็ได้ยินคำว่า อุตสาหกรรมใหม่ (นิค)

นับเป็นเวลามากกว่า 30 ปี... ไทยยังคงเป็นอะไรไม่รู้ ไม่ใช่ทั้ง เกษตรกรรม หรือ นิค อย่างที่อยากเป็น  พอจะกลับไปเป็นเกษตรกรรม พื้นที่ก็น้อยลง พอจะไปเป็นนิค ก็ไม่มีความชำนาญ ไม่มีแม้กระทั้งจะคัดลอกเค้ามา

ผมหวังว่าเราคงยังกลับลำทัน...

"เวียดนามมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทย"
พื้นที่ปลูกของเวียดนามก็ไม่ได้มีมากมายกว่าประเทศไทย แถมยังมีการขยายตัวของอุตสาหกรรม (โรงงาน) เพิ่มขึ้นมากมาย แต่ทำไม ผมว่าเค้าทำให้พื้นที่ ๆ มีอยู่สามารถปลูกได้อย่างคุ้มค่ามากกว่า เช่น กำหนดผลผลิตต่อไร่ ควบคุมน้ำ ควบคุมเวลา


"เวียดนามมีต้นทุนปลูกและผลิตข้าวต่ำกว่าไทย"
ต้นทุนถูก!  ถ้าบอกว่าถูกกว่าประเทศไทย ทำไมเราไม่จ้างเค้ามาทำหละครับ อิ อิ ผมว่าเหตุผลน่าจะเป็นว่า ต้นทุนอย่างอื่นถูกกว่า เช่น ไม่ใช้ปุ๋ย ไม่ใช้ย่าฆ่าแมลง แล้วอีกอย่างคือ ผมไม่เคยเห็นว่าต้นทุนที่ไหนจะมีแนวโน้มถูกลงเลย


"รัฐบาลมีนโยบายที่แน่นอนในการสนับสนุน"
รัฐบาลเวียดนาม ลดปุ๋ย ลดยาฆ่าแมลง เพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ และเพิ่มกำไร แต่ชาวนาไทยเราส่วนมากยังเข้าใจว่า ใส่ปุ่ยเยอะ ๆ จะดี ใส่ยาฆ่าแมลงสิ ไม่อย่างนั้นจะเหลืออะไรเก็บเกี่ยว   รัฐบาลไทยช่วยชาวนาเหมือนดังที่เค้าว่ากันว่า "ช่วยหาปลามาให้กิน มากกว่าช่วยสอนวิธีหาปลา" คือ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น พยุงราคาข้าว ออกเงินให้เกษตรกรกู้เพื่อซื้อปุ๋ย  ซึ่งถ้าชาวนาไทยยังหวังพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวคงแย่

Friday, October 1, 2010

ธนาคาร สมุดบัญชี ใบนำฝาก ใบถอน


เราไปธนาคารทำไม? กิจกรรมที่ผมไปที่ธนาคารมีดังนี้
  • นำเงินเข้าบัญชี
  • นำเงินออกจากบัญชี
วันนี้มีธนาคารหนึ่งพอเวลาเราจะไปฝากหรือถอน เค้าจะแจ้งว่า "ไม่ต้องเขียนเอกสารนำฝากค่ะ สามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนได้เลย".... เข้าทางเรา !!! เพราะส่วนใหญ่มักจะลืมพกติดตัวไปด้วย

กระบวนการในการนำฝาก/ถอนที่เราคุ้นเคยกันคือ
  • กดบัตรลำดับ
  • กรอกใบนำฝาก/ถอน ซึ่งก็มีข้อมูลดังนี้
    • สาขาที่มา
    • วันที่
    • ชื่อบัญชี
    • เลขที่บัญชี
    • จำนวนเงินบาท
    • จำนวนเงินเป็นตัวอักษร
    • ชื่อผู้ฝาก/ถอน
    • หมายเลขโทรศัพท์ผู้ฝาก/ถอน
  • เมื่อถึงลำดับก็ยื่นเอกสาร
  • พนักงานนับเงิน
  • พนักงานกดเลขที่บัญชีตามเอกสารที่เขียน
  • พนักงานทำรายการ
  • พนักงานกล่าวขอบคุณ
  • ผมตรวจสอบรายการทางสมุดนำฝาก
  • เดินออกจากเคาน์เตอร์
ผมจำได้ว่าเราทำอย่างนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กเลยนี่หว่า ...

กลับมาถามตัวเองว่า 
  1. ทำไมต้องกรอกข้อมูลในใบนำฝากหรือถอน ในเมื่อผมมีสมุดบัญชี หรือบัตรประชาชนไปด้วย
  2. ตกลงแล้ว ผมควรจะจำเลขที่บัญชี หรือว่า จะนำสมุดบัญชีไปดีกว่ากัน หรือว่า จำเลขที่ประจำตัวประชาชนก็พอ
  3. ธนาคารเค้าเก็บใบนำฝากหรือใบถอน เราไปทำอะไรหว่า... ถ้าพรุ่งนี้ผมมาขอดูเค้าจะมีให้ผมดูหรือไม่




Friday, September 24, 2010

สะพานเชื่อมโยง

วันก่อนขับรถผ่านตรงสุขุมวิท 77 (อ่อนนุช) เห็นมีโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมายใกล้ ๆ กัน ก็เลยขอเสนอความคิดว่า ให้ทำการสร้างสะพานเชื่อมแต่ละโครงการไว้เลย จะได้เดินไปมาหากันสะดวกขึ้น จะได้เป็นชุมชนคอนโดของจริง

Monday, September 20, 2010

การเมืองเรื่องใกล้ตัว

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาปิดช่องทางรับข่าวสารเรื่องการเมืองหมด ใครถามความเห็นอะไรก็บอกได้อย่างเต็มปากว่า "ไม่รู้เลยครับ ไม่ได้ติดตาม"  การปิดการรับรู้แบบนี้ก็ดีไปอย่างนะครับ ไม่ต้องคอยติดตาม

แต่ก็ไม่สามารถปิดได้หมด เพราะวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็ต้องขอมาวิจารณ์สักหน่อย


  1. จะดีกว่าถ้า "เปลี่ยนจากบอกว่าใครควรทำอะไร เป็นผมควรทำอะไร"
  2. เลิกบอกคนอื่นให้ทำตาม ให้บอกเค้าไปตามข้อแรก ให้คิดเองได้แล้ว
  3. บอกคนข้าง ๆ คุณว่า วันนี้ต้องทำงาน ต้องทำอย่างอื่นบ้าง มันเสียเวลาไปมากแล้ว
  4. เรากำลังเอาอนาคตลูกหลาน มาต่อรองกัน ทำไมไม่ให้เค้าทำกันเอง
  5. ให้คนอื่นบ้าง แล้วทุกคนจะได้


ไม่มีคำลงท้ายนะ...

Friday, September 17, 2010

คอนโด กลางเมืองแบบใหม่ ๆ ในความคิดผม

วันนี้ขับรถลงทางด่วนบางนา เลี้ยวซ้ายมาเจอกับตึกที่เค้าเรียกว่า "คอนโด" อยู่ ๆ ก็มีความคิดประหลาด (มาก ๆ ) ว่า ทำไมคอนโดถึงต้องเป็นก้อนสี่เหลี่ยม หรือไม่ก็เป็นแท่งกลม ๆ สูง ๆ เป็นอย่างนี้ได้หรือไม่

"เอาดินดี ๆ มาถมกันเป็นภูเขา ปลูกต้นไม้ยืนต้น แล้วเจาะช่องข้างในภูเขาเป็นห้อง ๆ แบบ studio, 1 bed room หรือ 2  bed room ข้างในมี ลิฟท์และทางเดินบริการเรียกได้ว่ามีเหมือนกับ คอนโดสมัยนี้แหละ "
"ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง" 

มัันจะเหมือนจอมปลวกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

Wednesday, September 1, 2010

True Hi-Speed internet Cafe'

วันนี้หลังจากเสร็จภาระกิจในการอบรมการใช้งานระบบ เราก็มุ่งหน้ามาที่ Futune ที่ที่เป็นถิ่นของ True

ตอนนี้เหลือเวลาที่ต้องทำงานประจำวันอีก 1.30 ชั่วโมง ...

ขอทำงานผ่าน WiFi หน่อย แน่นอนเราต้องเข้าไปที่ True Coffee

กว่าจะได้ใช้งาน True WiFi ได้เราก็ต้องจ่ายเงินค่ากาแฟไปตั้ง 210 บาท (รวมค่า internet 50 บาท) ที่แปลกใจคือ ราคาของการใช้งาน Internet ถ้าหากเราใช้ WiFi ผ่านเครื่องของเรา เราจะเสียค่าใช้บริการ ชั่วโมงละ 150 บาท แต่หากเราใช้เครื่องตั้งโต๊ะของ True เราจะจ่ายที่ 50 บาท/ชั่วโมง


สงสัยค่าไฟที่เราใช้ WiFi จะแพงกว่าค่าใช้ผ่านสาย LAN

ว่าไหม?

Monday, August 30, 2010

ออกแบบบ้านอย่างไรดี

วันก่อนมีคนถามทางไปวังน้ำเขียว เห็นบอกว่าจะไปซื้อที่ที่นั่นเพื่ออยู่ตอนเกษียณ

แว๊บแรกก็นึกขึ้นได้ว่า "ถ้าเป็นเราจะสร้างบ้านแบบไหนดี"


สุดท้ายก็ตอบตัวเองว่า สร้างบ้านที่เป็นเหมือนสิ่งแวดล้อมที่มันเป็นอยู่ คือ ไม่ใช่สร้างตึกใหญ่โต หรือว่าบ้านสีเขียว สีแดง สีฟ้า แต่จะสร้างบ้านเอาไว้ปลูกผักผลไม้และเห็ดขาย สบายใจดี

Thursday, August 26, 2010

ทางด่วนอยากให้ทางสะดวกด้วย

ทางด่วน...  บรื่น ๆ ๆ ๆ

เรื่องของเรื่องมันเกิดความคิดที่จะเขียนบทความนี้เมื่อต้องรอการจ่ายค่าบริการทางด่วน ซึ่งมีทั้งหมด 3 ช่องทาง ซึ่งแต่เดิมเป็นช่องจ่ายเงินสดทุกช่องทาง แต่ช่วงหลังมีการเปลี่ยน 1 ช่องทางเป็นช่อง EasyPass ไป

EasyPass เข้าใจว่าเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานบัตรทางด่วนใหม่ เพื่อให้สะดวกต่อผู้ที่ใช้บัตรเป็นหลัก พูดง่าย ๆ คือไม่ต้องคอยมานับเงินทอนกัน ซึ่งจะทำให้เดินทางได้เร็วขึ้นถ้ามีบัตร แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ มัน EasyPass แต่ไม่ด่วนกว่าผมเท่าไหร่ เพราะว่าก็ไปติดเหมือนผมที่บนทางด่วนอยู่ดี

จำได้ว่าเคยไปใช้ทางด่วนที่ต่างประเทศมา มันไม่มีไม้กั้น มีแต่ตัวอักษรบอกว่าทะเบียนรถที่กำลังจะผ่านนี้ทะเบียนอะไร บอกจุดเริ่มต้นการใช้บริการ ส่วนเวลาลงจากทางด่วนก็จะมีทะเบียนรถและราคาที่เราใช้บริการบอก และยังมีราคาที่เหลืออยู่บนบัตรให้ดูด้วย

ผมเสนออย่างนี้ดีกว่า


  • สนับสนุนให้มีช่อง EasyPass เยอะกว่าช่องบริการปกติ ส่งเสริมให้ใช้บัตร และสามารถเติมเงินได้อย่างสะดวก อีซี่หน่อยเซ่...
  • ยกเลิกไม้กัน ในช่อง EasyPass คือถ้าระบบไม่สามารถตรวจสอบได้ก็ให้เค้าผ่านไปเถอะ เพราะระบบมันไม่ดี
  • เก็บเงิน Prepaid ไว้ในธนาคารเพื่อให้ตัดเงินได้เมื่อใช้บริการ โดยต้องมีกำหนดขั้นต่ำไว้ หรือให้ดีก็ทำเป็น Postpaid ไปเลย เหมือนบัตรเครดิต
  • คิดเงินตามระยะทางแทนจำนวนการใช้งาน
  • ใครทำผิดกฏก็ออกใบสั่งตามไปได้ เหมือนทุกวันนี้ก็ยังทำได้ตามแยกต่าง ๆ 
  • นำข้อมูลการใช้งานทางด่วนมาวิเคราะห์ถึงจำนวนการใช้งาน ระยะเวลา ประเภทรถยนต์ที่ใช้งาน โอ้ย.. มีอีกเยอะท่ีจะทำได้

ผมหวังว่าอีกหน่อยก่อนใช้ทางด่วน จะมี SMS แสดงให้ทราบว่า ถ้าวันนี้ใช้ทางด่วนจะใช้เวลาไปถึงปลายทางกี่นาที และประหยัดเวลาเท่าไหร่เมื่อเทียบกันกับการใช้ทางยุ่งปกติ 

ยิ่งดีหากมีค่าสรุปดังต่อไปนี้แสดงให้ดูด้วย
  1. จำนวนการใช้บริการ
  2. ระยะทางที่ใช้
  3. เวลาที่ประหยัดได้เมื่อเทียบกับทางปกติ
  4. ช่วงเวลาในการเดินทางที่สะดวกเมื่อใช้ทางด่วนจากด่านต้นทางและด่านปลายทาง
ผมว่าทำได้อย่างนี้ก็พอจะเป็นทางด่วนจริงแล้ว แถมยังเป็นทางสะดวกอีกด้วย


Sunday, August 22, 2010

service mind บริการด้วยใจ หรือ ใจบริการ

เมื่อวานนี้ช่างมาซ่อมเครื่องทำความเย็น แน่นอนช่างมาทำตามหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน แต่ว่าผมอยากได้มากกว่านั้น สิ่งที่ผมอยากได้คือ service mind

คำว่า "Service Mind" ของผมอยากจะหมายความว่า "ใจบริการ" มากกว่า "บริการด้วยใจ" เพราะว่า ใจบริการนั้นดูแล้วมันเหมือนกับเป็นนิสัย แต่ บริการด้วยใจ เหมือนกับว่า ต้องบังคับใจมาบริการ

เมื่อหลาย ๆ สินค้ามีความเท่าเทียมกัน เช่น สินค้าระบบเทคโนโลยี สิ่งต่อมาที่เห็นจะทำให้เห็นคุณค่าและความแตกต่างคือ บริการ

บ่อยครั้งที่เราใช้บริการนำไปสู่สินค้า เช่น เมื่อช่างเข้ามาซ่อมแล้วเรามักจะถามว่าถ้าจะซื้ออันนี้ดีไหม เป็นอย่างไร แน่นอนว่าเราจะมีความเชื่อในช่างที่เราคิดว่าดี มากกว่าเราจะโทรไปถามร้านค้าเอง และนั่นก็เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินผ่านทางผู้บริการได้

เหมือนผมในปัจจุบันนั่นเอง...

Saturday, August 21, 2010

มองด้านดี ดีกว่ามองด้านลบ

ปกติเคยได้ยินแต่ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" จะดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนเป็น "อภิปรายไว้วางใจ"  แล้วโหวตเหมือน The Star, AF ก็จะดีไม่น้อย เพราะว่าทุกคนจะได้มุ่งทำแต่ความดี และมองว่าใครทำดีกว่ากัน

ใครคะแนนน้อยก็ให้พิจารณาตัวเองว่าทำอะไรบ้าง

Monday, July 26, 2010

ก้มเงย

วันนี้ต้องติดทีวีที่ผนังห้องเป็นแบบแขวน ถ้าเราไปหาซื้อตัวยึดกับผนังจะพบว่ามีหลายแบบในเลือกมากมาย

พอเวลามาติดที่ผนังแล้วปรากฏว่า แบบที่เลือก "แบบก้มเงยปรับองศาได้ 18 องศา" มันเป็นประเด็น เพราะว่าเราสามารถปรับให้คนนั่งดูก็ได้ ยืนดูก็ดี ตามแต่โอกาส เช่น


  • นั่งบนโซฟา หรือนอน ก็ปรับให้ก้มมากหน่อย
  • เวลามีงานเลี้ยงในบ้านก็ปรับให้ขนานกับการยืนดู
  • เวลานั่งที่โต๊ะก็ปรับให้ก้มนิดหน่อย

และนี้คือความต่างกันของการเลือกตามประสบการณ์นั่นเอง


Thursday, June 10, 2010

การสอนแบบยึดนักเรียนเป็นหลัก

วันนี้ก็เป็นอีก 1 วันใน 4 วันที่จะต้องเข้าประชุมผู้ปกครองนักเรียนที่ที่น้องผมเรียนอยู่ ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ทางโรงเรียนได้จัดให้ผู้ปกครองเสนอแนวทางในการจัดบุคคลากรเข้ามาสอนเสริมวันเสาร์ ซึ่งปกติแล้วทางโรงเรียนก็จะมีการจัดหาและการประเมินผู้สอนอยู่แล้ว

ทางโรงเรียนก็นำเสนอการจัดหาดังนี้

1.  อาจารย์ที่สอนปกติอยู่แล้วในโรงเรียนหรือที่อื่น ๆ ที่ทางผู้จัดหาเห็นว่าเหมาะสม
2.  อาจารย์สอนพิเศษที่มีชื่อเสียง เช่น อาจารย์อุ อาจารย์เผ่า

หลังจากมีผู้ปกครองออกไปหน้าห้องและให้ความเห็นต่าง ๆ ก็สรุปถึงปัญหาและแนวทางได้ดังนี้

1. นักเรียนไม่ค่อยเข้าเรียน - ทั้ง ๆที่เป็นการจ้างอาจารย์พิเศษมาจากที่อื่น และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่ก็ยังมีนักเรียนบางคนไม่ค่อยสนใจเรียน เอาแต่แตะบอล หรือไม่ก็เข้าเรียนช้า
2. นักเรียนแต่งการตามรูปแบบที่ตกลงกัน คือ ให้แต่งชุดนักเรียนปกติ แต่ก็มีนักเรียนบางคนแต่งชุดพละมาเรียน
3. อยากให้มีการจัดหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ มาสอน


พอฟังได้ซักพักก็มีผู้ปกครองหลายท่านออกมาให้ความเห็นกัน จนกระทั่งผมคิดว่าความเห็นผมน่าจะมีประโยชน์กับผู้ปกครองที่มาประชุมบ้าง เพราะว่าผมเป็นพี่ชายไม่ใช้พ่อแม่ของนักเรียน แล้วผมก็เดินออกไปให้ความเห็นดังนี้

"สวัสดีครับ ผมเป็นผู้ปกครองของนักเรียน แต่เป็นพี่ชาย ไม่ใช่พ่อ และแม่ของนักเรียน ผมอยากจะมีเสนอแนวคิดของพี่ชาย ด้วยเหตุผลที่ว่า พี่ชายจะสนิทกับน้องชายมากกว่า พ่อและแม่" แล้วผมก็ถามต่อไปว่า 
"มีพ่อแม่ทานใดเคยเข้าไปเรียนพิเศษกับลูกชายที่สถาบันติว ต่าง ๆ บ้าง ?"
หลาย ๆ ท่านบอกว่า ไม่เคย บ้างก็มีบอกว่า สถาบันนั้น ๆ ไม่ให้เค้าไป ...
รอสักพัก ผมก็บอกไปว่า "ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยเป็นนักเรียนที่ไปติวครับ ในการติวนั้นสำหรับผมเอง ผมต่อต้านการติวมาตลอด เพราะว่าการติวไม่ใช่การทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มและนำไปใช้ได้เท่าไหร่ แต่เป็นการติวว่าจะทำข้อสอบอย่างไร"
"การเรียนที่ดีที่สุดคือการเรียนที่ห้องเรียนนั่นแหละครับ เพราะว่านักเรียนจะได้พื้นฐานที่ดี และถ้าหากมีพื้นฐานที่ดีแล้วการไปติวที่สถาบันนั้นก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า  การที่นักเรียนที่มีพื้นฐานที่ไม่ดีไปติวนั้น ก็เหมือนกับส่งนักเรียนไปนั่งเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้น หากเรานำอาจารย์ที่ติว มาสอนนักเรียนในวันเสาร์ ผมคิดว่าไม่เกิดประโยชน์"

"เมื่อก่อนเคยเรียนกวดวิชากับอาจารย์หลังเลิกเรียน ในสถานที่นี่แหละ ผมว่าอาจารย์คนนั้นสอนให้ผมเข้าใจในวิชานั้น และนำไปใช้งานได้มากกว่าจะทำข้อสอบได้ ดังนั้นผมไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องนำอาจารย์ที่มีชื่อจากสถาบันกวดวิชาต่าง ๆ มาสอนก็ได้ แต่อยากให้เสนออาจารย์ที่สอนแล้วนักเรียนเข้าใจมาสอนมากกว่า"

"ส่วนเรื่องการแต่งกายของนักเรียนที่ห้ามไม่ให้นักเรียนแต่ชุดพละมาเรียนนั้น ผมคิดว่ามันเป็นคนละเรื่องกันกับการเรียน และเหตุผลที่อาจารย์บอกว่า เพื่อให้ทางโรงเรียนตรวจสอบได้ว่าเป็นักเรียนที่จะมาเรียนพิเศษหรือเป็นคนอื่นนั้น  เท่าที่ฟังแล้วทางโรงเรียนก็ไม่ได้แจ้งให้นักเรียนทราบถึงเหตุผล ดังนั้นแน่นอนนักเรียนก็ย่อมไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงแต่งชุดพละไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่าหากเขาแต่งชุดสุภาพมาเรียน และตั้งใจเรียน ก็ย่อมจะเป็นผลดีกว่า ส่วนเรื่องการตรวจสอนนั้น เราก็น่าจะมีวิธีอื่น แต่ที่สำคัญคือ อยากให้นักเรียนมาเรียนมากกว่า "


เสียดายที่มีเวลาน้อยไป ผมเลยไม่ได้สรุปประเด็นสำคัญอีกอย่าง แต่ก็ขอมาสรุปที่นี่ไว้ดังนี้


ในส่วนตัวทั้งที่เคยเป็นนักเรียน และเป็นผู้ปกครอง ผมมีความคิดว่า "การเรียนในประเทศไทย ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก และมักจะเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองมากไป ทำให้ขาดการจัดการและการบริการอย่างเป็นระบบ" เช่น การออกข้อสอบที่ยังเป็น ก.​ข.​ค.ง ที่มีการกำหนดกรอบความคิด และยังเป็นการสอนนักเรียนเดาคำตอบ มากกว่าจะหาคำตอบ ซึ่งพอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เด็กที่เรียนมาแบบ กขคง. นั้นก็จะลำบาก เพราะว่าไม่มีกรอบให้คิด ผมยังเกือบเอาตัวไม่รอด  และต่อมาก็มีแนวคิดว่าจะมีการเรียนการสอนแบบให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งผมคิดว่าแนวคิดอันนี้ดีทีเดียว แต่ว่าพอมาปฏิบัติแล้ว ดูผิดจากความคาดหวัง

เอาไว้หัวข้อหน้า ผมจะมาเขียนสิ่งที่อยากให้การเรียนการสอนในเมืองไทยเป็น


ป.ล. ความเห็นนี้เป็นความเห็นของ โรงเรียน รัฐบาลที่มีเงินทุนน้อยนะครับ เพราะว่าผมไม่เคยเรียนเอกชน หรือโรงเรียนรัฐบาล ที่ผู้ปกครองต้องแย่งกันให้นักเรียนได้เข้าเรียน

Sunday, May 23, 2010

กิจกรรมระดับมวลชน กับการพัฒนาภายใจสู่ภายนอก

วันนี้มีกิจกรรมดี ๆ ที่เห็นผู้คนออกมาทำความสะอาดมหานครกรุงเทพ และภาพดี ๆ ก็ออกมาให้ดูมากมาย เช่นที่นี่ ฺBig Cleaning Day

มองดูแล้วประเทศไทยช่วงหลังมานี้ขาดกิจกรรมดี ๆ ระดับมวลชนไปเยอะเพราะมัวแต่ชุมนุมเรื่องการเมือง

ส่วนกิจกรรมระดับประเทศที่เห็นกันบ่อย ๆ คือ ช่วงวันฉลอง 5 ธันวา, 12 สิงหา ที่ดูแล้วผู้คนต่างรอกันทุก ๆ ปี

ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ ก็ดูแล้วไม่สามารถดึงดูดคนเป็นจำนวนมากได้

เมื่อตอนเด็ก ๆ จำได้ว่า ผมได้ไปทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ศาลากลางของจังหวัดนนทบุรี  ประกวดการแสดงที่สนามศุภชลาศัย แข่งเรื่องที่แม่น้ำเจ้าพระยา ลอยกระทงที่จุฬา กาชาดที่สวนอัมพร ไปเล่นสงกรานต์ ดูทหารสวนสนาม

แต่เดี๋ยวนี้ดูแล้วกิจกรรมเหล่านี้ดูจะดึงดูดคนได้น้อยกว่าเรื่องการชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอของสื่อ หรือจากปากคนรอบข้าง ทุกคนรู้จักการชุมนุม หลายคนบอกว่าไม่ชอบการกระทำอีกฝ่าย

มองเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นที่ผมดูผ่านทาง NHK เค้าสามารถมีกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นระดับชุมชน หรือระดับประเทศ บ่อยมาก และนั่นก็เป็นจุดขายของประเทศ เป็นการสร้างกิจกรรมให้คนในชุมชนช่วยกันทำ ช่วยกันสร้าง และแน่นอนมันเป็นกิจกรรมที่ดีเอามาก ๆ

มองดู Big Cleaning Day ในวันนี้แล้วผมก็เลยอยากเสนอให้เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพฯ​ และเจ้าหน้าที่ของประเทศ และถ้าเสียงนี้ไปถึงนายกรัฐมนตรี ผมอยากให้กรุงเทพฯ ได้จัดให้มีกิจกรรมที่ดีให้คนในชุมชนกรุงเทพฯ ได้เข้ามาร่วมกันทำ เช่น วันทำความสะอาดกรุงเทพฯ ประจำเดือน หรือกิจกรรมปิดถนนสีลมเพื่อขายสินค้าในยามค่ำคืน ทำให้มีกิจกรรมที่ร่วมกันมากขึ้น ไม่ใช่มีแต่การชุมนุมทางการเมือง

ผมว่าเราควรสร้างประเพณีในสมัยนี้บ้าง ไม่ใช่ใช้แต่ประเพณีของบรรพบุรุษอย่างเดียว

Saturday, May 22, 2010

มหานครกรุงเทพ ได้พักผ่อนบ้างแล้ว

หลังจากมหานครแห่งนี้ต้องรองรับความขัดแย้งมานานร่วมกว่า 2 เดือนในช่วงที่ผ่านมา แล้วกรุงเทพฯ นี้ก็ได้พักผ่อนเสียที

วันนี้ถ้าหากมองกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืน จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ กิจกรรมที่คนในมหานครแห่งนี้ทำในยามปกตินั้นหายไปหมด ไม่ว่าจะเป็น การทำงานกะดึก การออกมานอกบ้านทานข้าวข้างถนน การออกไปสถานบันเทิง การนั่งดื่มสังสรรค์ การจราจรที่จอแจ การแข่งรถ ไฟเขียว-ไฟแดง รถกระป๋องไฟฟ้า ตลาดนัดหน้าบ้าน และอีกหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถทราบได้

ผมมีความรู้สึกว่ากรุงเทพฯ ในเวลานี้ดูเงียบสงบ นิ่ง พักผ่อน เฝ้ามอง และรอคอยการกลับมาของชีวิตชีวาของคนที่อาศัยอยู่ในมหานครแห่งนี้ รอคอยการกลับมาของคนที่ได้ชื่อว่า "เรายิ้มได้เสมอ" รอคอยความรักซึ่งกันและกัน รอคอยวันที่หลาย ๆ คนเฝ้ารอให้เกิดขึ้น


กลับมาเถิดมหานครที่รักของผม ผมคิดถึงคุณ

Wednesday, May 19, 2010

ย้าย Technology blog ไปที่ใหม่

ขอย้ายความรู้ในส่วนของ technology ไปไว้ที่ hinchaisri.blogspot.com


แจ้งเพื่อทราบ

Tuesday, May 18, 2010

หมากกระดาน

หากคุณเคยเห็นหรือเคยเล่นหมากกระดาน ไม่่่ว่าจะเป็นของชาติใดก็ตาม ตัวหมากนั้นก็จะมีหลายระดับในการเล่น เช่น เบี้ย ขุน โคน ม้า Knight Queen King แต่ละตัวนั้นก็จะมีบทบาทต่างกัน ทั้งสองฝ่ายจะต้องส่งหมากของตัวเองเข้าไปเล่น ล่อ และ กิน

แล้วหมากต่าง ๆ ก็กำลังขยับ ปกติแล้วหมากที่อยู่บนกระดานจะมีวิสัยทัศน์แค่ในกระดาน อย่างมากก็ 8 ทิศ ผิดกับคนเดินหมากที่มีมากกว่า

และแน่นอนตอนนี้ ขณะนี้ พวกเราก็คงเห็นหมากตัวสำคัญ ๆ หรือที่เตรียมไว้เฉพาะ ออกมาเดินมากขึ้น

สงสารหมากตาบอด

Monday, May 17, 2010

การบริโภคข่าว

ขณะนี้ผมบริโภคข่าวจาก 2 แหล่ง ที่ค่อนข้างมีความแตกต่างกันในเรื่องของความคิด เหตุที่ต้องบริโภคทั้งสอลงด้านก็เพียงแค่ไม่อยากโดนข่าวหลอก

สิ่งที่น่าแปลกใจของข่าวคือ บนข่าวเรื่องเดียวกัน ทำไมการนำเสนอถึงได้มองคนละมุม คนละขั้วอย่างนั้น ต่างคนต่างนำข่าวที่เป็นฝ่ายของตนออกมานำเสนอ ไม่นำเสนอทุกด้าน อย่างนี้ชีวิตเราก็โดนการยัดเยียดข่าวไม่ต่างอะไรกับโฆษณาที่บังคับให้รับรู้เฉพาะด้านเฉพาะเรื่อง

ก็เป็นห่วงไปยังผู้ที่บริโภคด้านเดียว

Wednesday, April 28, 2010

ต่อจาก ... แรงงานไทยไปไหนกันหมด

ต่อจาก แรงงานไทยไปไหนกันหมด

ประเด็นต่อมาของเรื่องนี้คือว่า วันก่อนพ่อผมเค้าไปเจอคนงานที่เป็นคนลาว ที่รับจ้างปูพื้นกระเบื้อง ก็อดคิดไม่ได้ว่าเดี๋ยวนี้แรงงานไทยไม่มีหรือว่าแรงงานไทยพัฒนาไปเป็นนายจ้างกันหมดแล้ว

แรงงานที่ว่านี้คือแรงงานที่มีฝีมือ... คำว่าฝีมือนั้นหมายความว่า "ทำจนชำนาญ รวดเร็ว และเรียบร้อย"

ถ้าหากเราให้คนงานต่างประเทศเหล่านี้ได้ทำงานประเภทพวกที่เป็นการใช้แรงงานและวัดกันที่ฝีมือแล้ว ซักวันหนึ่งแรงงานคนไทยที่ฝีมือดี ๆ จะค่อย ๆ น้อยลงไปเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าแรงงานไทยที่เห็นว่ามีฝีมือกันมานานนั้น จะเป็นตำนานไป

เพราะว่าคนไม่เก่ง แต่ได้ทำบ่อย ๆ แล้วก็จะเก่งเอง...

Tuesday, April 27, 2010

แรงงานไทยไปไหนกันหมด

วันนี้ต้องไปฟอร์จูน เพราะว่าต้องนำอุปกรณ์ไปซ่อมที่ร้าน อมร ระหว่างจอดรถนั้น ก็มีพี่ รปภ. มาโบกรถให้ทันที (ปกติไม่ค่อยมี) พอจอดเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดหน้าต่างไปกล่าวคำขอบคุณตามปกติ

แต่พอเราออกจากรถไปเพื่อที่จะเดินไปยังบันไดเลื่อน อยู่ ๆ พี่ รปภ.​ คนนั้นก็นั่งคุยกับเพื่อนผู้หญิง เท่าที่ฟังแล้วไม่ใช่ภาษาไทยแน่นอน และก็ไม่ใช่ภาษาลาว

ก็เกิดความคิดขึ้นทันใด

หลายปีก่อนไปที่ฮ่องกง พอกลับมาเมืองไทย ก็แนะนำคนที่คิดจะไปฮ่องกงในวันเสาร์-อาทิตย์ ว่าอย่าไปในวันนั้นเชียว เพราะว่ามันเป็นวันของแม่บ้าน ปกติแม่บ้านชาวฟิลิปินส์และอินโดเนียเซีย จะใช้วันเสาร์-อาทิตย์ มานั่งเล่นและทำกิจกรรมกัน จนวันนั้นไม่เห็นคนฮ่องกงกันเลยก็ว่าได้

พอมามองถึงเมืองไทย ดูแล้วก็เร่ิมคล้าย ๆ กัน แม่บ้านตามบ้านต่าง ๆ จะไม่ค่อยเห็นเป็นคนไทยแล้ว ที่เคยเจอก็เป็นคนลาว คนพม่า น้อยนักที่เป็นคนเขมร

เคยถามคนที่จ้างแม่บ้านชาวต่างชาติว่าทำไมไม่จ้างคนไทย เค้าก็บอกว่า คนไทยเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยทำอาชีพแม่บ้านกันแล้ว จะมีแต่คนต่างชาตินี่แหละ

ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกหน่อยเมืองไทยจะเป็นเหมือนฮ่องกงหรือไม่ ที่วันเสาร์-อาทิตย์ หาคนไทยเดินตามท้องถนนไม่ค่อยมี
!

Wednesday, April 21, 2010

สะพานลอยกับทางม้าลาย

เดี๋ยวนี้ใช้บริการขนส่งมวลชนบ่อย เวลาเรานั่งรอรถเมล์ที่ป้ายนั้น เราก็จะมักมีสมาธิจนสามารถคิดบางอย่างออก และวันนี้ก็คือ ทำไมประเทศไทยจึงมีสะพายลอย?  ความหมายของสะพานลอยตาม wiki thai คือ "คือสะพานที่ใช้ในการข้ามถนนเพื่อความปลอดภัยของผู้สัญจรทางถนน


แต่อย่ากระนั่นเลยขอไปดูภาคภาษาอังกฤษบ้าง ซึ่งก็ได้ความหมายว่าที่แตกต่างออกไป แถมรูปที่แสดงนั้นก็ไม่เหมือนสะพานลอยที่ผมเห็นในประเทศไทยเท่าไหร่ 

ผมจำไม่ได้ว่าเริ่มเห็นสะพายลอยครั้งแรกเมื่อไหร่ เท่าที่จำความได้คือ แม่มักจะบอกว่า "เวลาข้ามถนน ให้ข้ามสะพานลอยนะลูก อย่าเดินข้ามถนนหละ" นั่นก็น่าจะเป็นสมัยเรียนอนุบาลเลยหละมั้ง

สะพานลอยที่เห็นในประเทศไทยส่วนมากจะสร้างขึ้นเพื่อให้บริการประชาชนเพื่อให้เดินข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย เช่น แถวสี่แยก หรือถนนใหญ่ ๆ เช่น ถนนบางนา-ตราด บางทีเราก็ใช้สะพานลอยจนชินเสียจนเข้าใจว่ามันมีไว้ให้บริการอื่น ๆ ด้วย เช่น  เวลาที่จะหาป้ายรถเมล์ให้มองหาสะพานลอย (ไม่ค่อยพลาด)  สินค้าแบกับดิน คนมาขอเงิน เล่นดนตรี เป็นที่หลบฝน ลูกชิ้นปิ้ง ฯลฯ

ย้อนกลับไปมองหลาย ๆ ประเทศผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ญี่ปุ่น ฉากที่เราจะเห็นได้บ่อยคือในเมืองที่มีคนพลุกพล่านและเป็นเมืองย่านธุรกิจ เราจะเห็นว่าเค้าจะมีไฟสัญญาณให้คนเดินข้ามถนน แต่ตรงนั้นไม่มีสะพานลอย  พอจะเห็นสะพานลอยก็เห็นเฉพาะแถวนอกเมืองที่รถจะวิ่งกันเร็ว ๆ 

ตอนที่ผมทำงานกับฝรั่งที่เมืองไทย เค้าก็ไม่ค่อยข้ามถนนโดยใช้สะพานลอยนะ แต่ก็มารู้ทีหลังว่าบ้านเค้าไม่ค่อยมี เห็นมีเยอะก็แต่ทางม้าลาย เอ..หรือว่าฝรั่งเค้าข้ามสะพานลอยไม่เป็นนะ?

ลองมาดูกันดี ๆ ก็แปลก ทำไมเราต้องมีสะพานลอย ถ้าหากวันนี้ไม่มีสะพานลอยจะเกิดอะไรขึ้น? ผมมีโอกาสไปเดินที่ถนนแถวอโศก ที่นั่นไม่มีสะพานลอย มีแต่ทางม้าลายที่มีเสาสัญญาณไฟ้ให้กดปุ่มเพื่อบอกว่าฉันต้องการที่จะข้ามถนนนะ ผมว่าความคิดนี้เยี่ยมทีเดียว ผมลองนึกดูว่าถ้าหากตรงแยก ถนน-สาธรตัดกับ ถนน-นราธิวาส ถ้าหากตรงนั้นไม่มีสะพาน(ควาย)ลอย (ที่ต้องวงเล็บไว้เพราะว่าถ้าหากคุณเคยเดินข้ามสะพานลอยที่นั่นจะรู้ได้ว่ามันเผาผลาญพลังงานได้ดีทีเดียว) ก็จะมีลักษณะเหมือนกันกับที่ญี่ปุ่นเลย 

สะพานลอยสี่อันกับทางม้าลายบวกสัญญาณไฟสี่อัน ดูแล้วต้นทุนน่าจะต่างกันโข! ไม่รู้ว่าคิดได้ไงคนทำเนี่ย

ผมอยากได้ทางม้าลายแล้วหละ! 

พูดถึงสะพานลอยแล้วไหน ๆ ก็ขอพูดถึงทางม้าลายกับสัญญาณไฟอีกหน่อย 

เรามักจะคิดถึงสัญญาณไฟเฉพาะสัญญาญไฟจราจร และที่เห็นบ่อย ๆ คือตามสี่แยกต่าง ๆ และตามสี่แยกนั้นก็จะมีทางม้าลายเสมอ คำว่า "สัญญาณไฟจราจร" นี้ไม่รู้ว่ารวมกันกับคนด้วยหรือไม่ เพราะว่าเท่าที่เห็นคือ คนที่ข้ามถนนตามสี่แยกจะต้องข้ามไปแค่ครึ่งเดียวก่อน ส่วนอีกครึ่งทางก็รอจังหวะว่างแล้วค่อยไปต่อ (ผมมีพี่สาวที่น่ารักเสียชีวิตเพราะว่าข้ามไปแค่ครึ่งเดียวนี่แหละ เล่าแล้วเศร้า)

ก็กลับมานึกถึงในหนังญี่ปุ่นอีกนั่นแหละ ที่นั่นเค้าให้รถตามสี่แยกหยุดกันทุกด้าน เพื่อให้คนเดินข้ามถนน ไม่ว่าจะข้ามแบบตัดถนนไปอีกฝั่ง หรือข้ามแบบไปอีกมุมหนึ่งเลย หรือบางทีอาจจะวิ่งได้รอบ อิ อิ

จะมีใครอยากได้เหมือนผมบ้างหรือเปล่าหนอ...?






pyCon ที่ Asia

สืบเนื่องมาจากผมใช้ Python หาเงินใช้มาก็หลายโครงการ ถ้าหากมีเวลาและมีค่าใช้จ่ายพอ ก็คิดว่าจะแวะไปดูงานนี้ซักหน่อย

http://apac.pycon.org/

Thursday, April 1, 2010

ปฏิทินวันหยุด

วันนี้มีน้องที่บริษัท มาให้ลงชื่อเอกสารลาหยุด สิ่งที่ต้องทำเสมอคือ


  1. เปิด iCal ขึ้นมาแล้วตรวจสอบว่ามีวันหยุดของคนอื่นตรงกันหรือไม่ เผื่อลูกค้าต้องการบริการ จะได้มีคนคอยช่วยเหลือหน่อย
  2. คนนี้หยุดไปแล้วกี่ครั้งในปีปฏิทิน
  3. ตรวจดูว่าตรงกับวันหยุดตามปฏิทินหรือไม่

ก็นึกขึ้นได้ว่าปกติที่บริษัทจะยึดปฏิทินของธนาคารเป็นหลัก แต่ว่าจะเอาวันหยุดประจำปีจากปฏิทินธนาคารมาใส่ไว้ใน iCal อย่างไรเนี่ย

ค้นใน Google ก่อน ถ้าไม่มีใครรวบรวม ก็คงเขียน App ขึ้นมาเผื่อแผ่คนอื่นใช้กันบ้างแล้ว!

Updated: 17:36 - เป็นเล่นน่า ไม่มีเป็น iCal ที่ Share ให้ใช้แฮะ มีอันนี้ที่พอดูได้ (icalshare.com)
Updated: 17:38 - ต้องทำไว้ใช้ซะแล้ว
Updated: 17:51 - เจอแล้ว อันนี้ครับ http://icalshare.com/calendars/48 , webcal://ical.mac.com/ical/Thai32Holidays.ics

มันเป็น App ที่ธรรมดา แต่ว่ามีประโยชน์เหมือน "swiss-army knife"





Tuesday, March 30, 2010

การยึดติด กับการพัฒนาของคนไทย

วันนี้ระหว่างขับรถ ได้ฟังรายการสนธนาทางวิทยุจากคลื่นหนึ่ง ในเรื่องของการใช้งานซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งปัจจุบันในสถานศึกษาหลาย ๆ แห่งได้ใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า SPSS กันอย่างแพร่หลาย  (ผมเคยได้ยินชื่อนี้มานานมาแล้ว แต่ไม่เคยได้จับซักที)

แต่วันนี้ผู้รับเชิญได้นำเสนอซอฟต์แวร์ทางเลือกที่มีชื่อว่า OpenStats ซึ่งมีประโยคที่น่าคิดที่ผู้รับเชิญเอ่ยถึงคือ
"OpenStats มีหลาย ๆ อย่างที่ใช้แทน SPSS ได้ แต่ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป ก็คิดว่าพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องดีกว่า"
และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ

"ในงานทางด้านวิชาการ โดยเฉพาะผลงานของนักศึกษาปริญญาโทหรือปริญญาเอก ผลของชิ้นงานถือว่าสำคัญมากว่าเครื่องมือที่ใช้" 

ผมมาวิเคราะห์ดูแล้ว คิดว่าปัญหาของคนไทยคือไม่อยาก "เรียนรู้" ที่จะเปลี่ยนแปลง ผมเน้นคำว่าเรียนรู้นะครับ!

ตัวอย่างที่เห็นได้ใกล้ตัวผมคือ การใช้งาน Open Office แทน Microsoft Office ที่ทันทีที่ผู้ใช้งานได้ทดลองใช้แล้วหลาย ๆ คนจะบอกว่า มันใช้ยากไม่เหมือน Microsoft Office

แต่ถ้าผมลองให้ผู้ใช้งานที่ไม่ค่อยได้ใช้ MS Office มาก่อนลองใช้งานดู ผลปรากฏว่าไม่เห็นว่าจะบ่นว่าใช้งานยากเลย ก็ใช้งานที่เค้าเคยใช้งานได้ปกติ

Q.E.D ได้ว่า หากคนเราไม่ขีดกรอบทางด้านความคิดหรือยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ มากนัก ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลาย ๆ อย่าง

เช่น

เราจะทำได้หรือ?
ห้องเรียนที่ไม่อยู่ในโรงเรียน
รถเมล์ที่ไม่ต้องซื้อตั๋ว
จะทำแข่งเค้าได้หรือ เราไม่เคยทำ
จะทำไปทำไม? คนอื่นเค้าทำกันแล้ว

Monday, March 29, 2010

ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์

(พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ)

"ประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมีอยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ มีแต่แพ้ คือ ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนที่แพ้จะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหายประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะเวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง" 

ล้ำลึกจริง
ทรงพระเจริญ

Wednesday, March 24, 2010

Extend User Model in Django

ref: http://docs.djangoproject.com/en/dev/topics/auth/
ในระบบทั่ว ๆ ไปก็ต้องการ Login เพื่อตรวจสอบการใช้งานของผู้ใช้งาน และด้วย Django นั่นมีระบบจัดการ User ให้แล้ว ดังนั้นจะเป็นการดีมากหากเรานำมาใช้งานต่อได้

ใน Django นั้นมีระบบที่เรียกว่า User authentication มาให้ดวย โดยระบบดังกล่าวประกอบด้วย

  1. Users
  2. Permission
  3. Groups
  4. Messages
ใน Class models.User นั่นประกอบด้วยข้อมูลไว้สำหรับทำการ Login แต่ว่าด้วยระบบส่วนใหญ่ที่ผมทำนั้นจะประกอบด้วย Organization, Company, Department, Team ... ดังนั้นก็เลยต้องทำการ extend models นั่นเอง

ผมก็สร้าง app มาใหม่ชื่อว่า user แล้วทำการสร้าง model ดังนี้

from django.contrib.auth.models import User
class UserProfile(models.Model):
  user = models.ForeignKey(User, unique=True)
  code = models.CharField(max_length=100, null=True)
  prefix = models.ForeignKey(Prefix, null=True)
  email2 = models.EmailField(null=True)
  gender = models.ForeignKey(Gender, null=True)
  home_phone = models.CharField(max_length=100, null=True, db_index=True)
  mobile_phone = models.CharField(max_length=100, null=True, db_index=True)
  work_phone = models.CharField(max_length=100, null=True, db_index=True)
  pic_url = models.ImageField(upload_to='emp', max_length=200, null=True)
  signature = models.TextField(null=True)

  def __unicode__(self):
    return self.user.get_full_name()


เท่านี้เราก็จะได้การจัดการ User แล้ว

Tuesday, March 23, 2010

เมื่อหันกลับมาเริ่มทำ Application ด้วย Django เสียที

จากเรื่อง "แปลเอกสาร Django Book ภาษาไทย"

เมื่อก่อนได้เร่ิมใช้งาน Django แต่เห็นว่าการใช้งาน Model ยังติดปัญหาอยู่ แต่มาพักหลังเห็นความคืบหน้าไปมาก ก็เลยตัดสินใจนำ Django มาลอง port งานที่เป็น PHP มาใช้งานดู

เร่ิมด้วยการติดตั้งก่อน

ผมชอบการติดตั้งแบบ Installation Development Version เพียงเพราะว่าเวลามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ง่ายดี มาเริ่มกันเลยครับ

ติดตั้ง Python2.6 ก่อน
เนื่องจากเครื่องที่ผมใช้งานเป็น Mac Snow Leopard 10.6 ซึ่งก็เป็นระบบปฏิบัติการ 64 บิต ดังนั้นเพื่อความสะดวกผมก็ติดตั้งจาก source

$ cd ~
$ mkdir MyApplication
$ wget http://www.python.org/ftp/python/2.6.5/Python-2.6.5.tgz
$ tar xzvf Python-2.6.5.tgz
$ cd Python-2.6.5
$ ./configure --enable-framework --enable-universalsdk=/Developer/SDKs/MacOSX10.6.sdk/ --with-universal-archs=intel
$ make
$ sudo make install

เมื่อเราติดตั้งเสร็จเราก็จะได้ site-packages ที่นี่ /Library/Frameworks/Python.framework/Versions/2.6/lib/python2.6/site-packages

ต่อมาก็ติดตั้ง Django
$ cd ~/MyApplication
$ svn co http://code.djangoproject.com/svn/django/trunk/ django-trunk
$ cd django-trunk
$ sudo ln -s `pwd`/django /Library/Frameworks/Python.framework/Versions/2.6/lib/python2.6/site-packages/django
$ sudo ln -s `pwd`/django/bin/django-admin.py /usr/local/bin

ผมใช้ PostgreSQL เป็นฐานข้อมูล
ต่อมาก็ติดตั้ง psycopg
$ cd ~/MyApplication
$ wget http://initd.org/pub/software/psycopg/psycopg2-2.0.14.tar.gz
$ cd psycopg2-2.0.14
$ sudo /Library/Frameworks/Python.framework/Versions/2.6/bin/python2.6 setup.py install

เท่านี้เราก็เร่ิมใช้งานกันได้แล้ว


Tuesday, March 16, 2010

Toilet Paper


ถ้าหากว่ามีเครื่องนี้ให้บริการอยู่ตามห้างก็ดีสิ แค่นำกระดาษที่ใช้แล้วไปหย่อนใส่ตู้ แล้วก็ได้กระดาษชำระออกมา

จะได้เอากระดาษที่ทำงานไปหย่อนทุกวันเลย

Monday, March 15, 2010

สีของเมืองไทย

ถ้าให้ผมบอกว่าผมเลือกสีอะไร ผมตอบได้เลยว่า

"ผมจะเป็นทุกสี ทุกสีที่เป็นประเทศไทย และทุกสีที่ทำให้เป็นไทย"

25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส (3) ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่

ผมเป็นเด็กที่ชอบการเรียนรู้ ห้องเรียนผมไม่ได้อยู่ในโรงเรียนตลอดเวลา ระหว่างเดินไปโรงเรียน ผมใช้เส้นทางเดินเป็นห้องวิทยาศาสตร์ สังเกต และเรียนรู้ มันมีเรื่องสนุก ๆ มากมายกว่าสมัยนี้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเด็ก ๆ ที่จะเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เพราะจะทำให้เราเป็นคนช่างสังเกต และสนุกที่จะเรียนรู้กับสิ่งนั้น ๆ

ผมเลือกเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นด้านศิลปะในการเรียนควบคู่กันไป ผมเป็นนักดนตรีที่ดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้ผมเรียนรู้บางส่วนของสมาธิจากการเล่นดนตรี ผมพูดทางเสียงดนตรีมากกว่าการพูดด้วยเสียงทางปาก เค้าว่าอย่างนั้น! ถึงกับมีครูบางคนบอกว่า "เด็กคนนี้เป็นคนที่พูดน้อยต่อยหนัก" ก็เห็นจะจริง

ชีวิตอันดูเหมือนเงียบ ๆ นั้นมาจบลงตอนที่ผมเรียนอยู่ปี 4 เทอม 2 จุดเปลี่ยนที่สำคัญของผมอยู่ที่เวลานี้ ด้วยการเป็นคนช่างสังเกต ทำให้ผมเห็นประกาศรับสมัครนักศึกษาที่สนใจที่จะไปเป็นนักเรียนฝึกงานที่เยอรมันนี และแน่นอน ผมสมัครทันที!

เวลาที่เราเห็นโอกาสส่วนมากเราก็จะไม่เห็นอุปสรรคที่จะมีระหว่างทาง นั่นคือเด็กคนหนึ่ง ผมแก้ปัญหาของ curriculum vitae (คำนี้เกิดมาพึ่งเคยได้ยิน) ด้วยการปรึกษาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องภาษาอังกฤษ แถวบ้าน และซ้อมสิ่งที่ผมต้องเตรียมระหว่างสอบสัมภาษณ์เป็นอย่างดี และแน่นอนผมไม่ติดปัญหาในการสอบสัมภาษณ์แต่อย่างไร อีกทั้งโชคดีที่ก่อนหน้านั้นผมได้ทำงานงานหนึ่งที่อาจารย์มอบหมายได้สำเร็จ จึงทำให้ผมมีเครดิตในตอนสัมภาษณ์อีกนิดหน่อย

พอทุกอย่างผ่าน จึงทำให้ผมได้เป็นนักศึกษา 1 ใน 2 คนที่จะได้ไปเยอรมันนี! อีกคนเป็นรุ่นน้องปี 3

ถ้าหากคุณเป็นคนที่จะได้ไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตด้วยความสามารถคุณเอง จะรู้สึกอย่างไร?  สำหรับผมผมมองเห็นอนาคตข้างหน้าแล้ว "เบียร์" เค้าว่ากันอย่างนั้น ผมไม่เคยมีความรู้ในประเทศนี้เลยนอกจากเบียร์ เบียร์ และก็เบียร์ แต่ตอนนั้นผมกินมันไม่เป็นนะสิ! ดังนั้นผมเริ่มอ่านหนังสือและทำความเข้าใจกับประเทศนี้มากขึ้น ด้วยเวลาอันน้อยนิด

แต่ก็โชคดีของเด็กไทยคนหนึ่ง โครงการนี้เป็นแซนด์วิชโปรแกรม คือ จะมีนักศึกษาของทั้งสองประเทศช่วยกันทำโครงการนี้ และเพื่อนใหม่ของผมเป็นคนเยอรมันนี และผมก็มีรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่ไป คอยสอนเรื่องที่ต้องปฏิบัติต่าง ๆ ตั่งแต่เวลาเดินทางจนกระทั่งเวลาที่อยู่ที่เยอรมันนี พี่เค้าคงกลัวว่าผมจะไปทำป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ที่เยอรมันนีมั้ง

ปัญหาเรื่อง Germany Overview ก็เลยง่ายขึ้น!

เหลือสิ่งเดียวที่ติดปัญหาอยู่คือ ปัจจัย คุณคิดว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยมีสะตุ้งสตางค์ จะเอาเงินที่ไหนไปเยอรมันนี?

และแล้วเราก็รวบรวมปัจจัยได้ทั้งหมดก็ 6 หมื่นบาท มันมาจากกระปุกและการหยิบยืมญาติที่พอจะหาได้ และก็ต้องสัญญาว่าจะเอามาคืนเมื่อกลับมา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คิดเป็นค่าเครื่องบินก็ราว ๆ 3 หมื่นบาท ที่เหลือ 3 หมื่นก็เป็นเงินติดถุง

ช่วงนี้ผมคิดว่าหลาย ๆ อย่างได้มาอย่างปาฏิหาริย์ มันมาเองครับ เหมือนกับคำสอนที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)ให้ไว้

"ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง..."

"จงจำไว้นะ... เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้... ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่... จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"

ผมรู้ภายหลังก่อนที่จะบินไปเยอรมันนีเพียงไม่ก็วันว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหลายที่ผมยืมมานั้นทางบริษัทซีเมนส์ที่ให้ทุนเพื่อโครงการนี้จะจ่ายในภายหลังเมื่อเราไปที่เยอรมันนี ทำให้ผมแน่ใจว่าเงินที่ยืมมานั้นมีทางเอามาคืนแล้ว "การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ" เห็นจะจริง

พ่อผมเป็นคนแรกที่เคยไปต่างประเทศ และผมก็จะเป็นคนที่สอง การเตรียมตัวก็เลยไม่ค่อยมีอะไรต่ืนเต้นมาก แค่คิดว่าจะเตรียมอะไรก็พอ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อ กระเป๋าเดินทางของผมมันเล็กแค่  25 นิ้วเท่านั้นเอง คุณคิดว่าจะเอาอะไรไปบ้างถ้าหากคุณมีกระเป๋าขนาดเท่าโทรทัศน์ สิ่งที่ผมยัดลงไปได้คือ เสื้อยืด ที่ยืดแล้ว 3 ตัว กางเกงยืนเก่า ๆ ของพี่ชาย 1 ตัว เสื้อทำงานแขนยาวอีก 2 ตัว  การเกงในอีกพออาทิตย์หนึ่ง ยาพารา การเกงขาสั้น 2 ตัว (ตอนนี้ผมยังใช้อยู่เลย มันทนจริง ๆ)  แปรงสีฟันอันเก่า ยาสีฟันที่เหลือจากบ้าน ยาสระผมอีกกระปุก เสื้อกีฬากันหนาวบาง ๆ ที่ซื้อมาจากงานกีฬาสัมพันธ์ของคณะวิศวกรรมทั่วประเทศ ่และปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวขนที่เป็นชุดคลุมที่พ่อใช้ พ่อบอกว่าเอาไว้เป็นผ้าห่ม ว่างั้น!

ส่วนของที่เหลือก็คือชุดที่ผมต้องใส่เพื่อเดินทาง พ่อผมเค้าบอกว่าเราต้องแต่งตัวให้ดูดี เดี๋ยวเค้าไม่ให้ขึ้นเครื่อง ผมใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำและรองเท้าหนังที่ผมใส่เรียนนั่นแหละ และสวมเสื้อสูตรตัวเก่าของพ่อสีเทา ๆ ทับอีกตัว เป็นอันว่าดูดีทีเดียว  ... ในสายตาของเด็กบ้าน ๆ คนหนึ่ง


สามหมื่นที่เหลือผมต้องแลกเป็นเงินเยอรมัน Deutshe Mark ที่ดอนเมือง เพราะว่าจะได้มากกกว่าแลกที่เยอรมันนี และก็คุยกับเจ้าหน้าที่คนไทยได้ง่ายกว่า ตามคำที่รุ่นพี่บอกไว้

สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ และน้องน้อยอีกคน แล้วเจอกัน....

แล้วผมก็ก้าวผ่านประตูเข้าไปยังจุดตรวจ...

Good Bye Bangkok... See you then

Sunday, February 28, 2010

25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส (2) เรียนนี้เพื่ออนาคต

เนื้อหาต่อจากภาคที่แล้ว 25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส (1)

การทำงานของผมนั้นเร่ิมตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมโน้นครับ เป็นเพราะว่าพ่อเป็นคนที่อยากให้ลูกๆ ได้รู้จักการทำงาน จึงเป็นเหตุผลที่ผมได้เข้าไปช่วยงานในหลาย ๆ ที่ แต่ละที่ก็มีบทเรียนต่าง ๆ กัน ซึ่งการไปทำงาน ทำให้มีความเข้าใจในการทำงานมากขึ้น แต่ก็นึกเสียดายที่น้องของผมเค้าไม่ได้มีโอกาสทำงานพวกนี้เลย เพราะเหตุผลอันสุดวิสัย

เมื่อครั้งเรียนมัธยม การทำงานช่วยพ่อนั้น ได้ทำเพราะว่าพ่อพาไป ให้ทำอะไรก็ทำ ขน แบก อะไรก็ทำ เหนื่อยบ้าง เบื่อบ้าง อู้บ้าง แต่ผลที่ได้รับคือ "ต้องทำงาน แล้วงานจะเสร็จ"

พอมาเรียนมหาวิทยาลัย การทำงานแบกหามก็ยังมีอยู่ แต่ว่าน้องลง งานที่ทำคืองานทั่ว ๆ ไปทางคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นปี 3 มีคำถามเข้ามาจากหัวหน้าว่า "จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้เก็บข้อมูลอย่างไรดี?" แล้วคำตอบก็คือ "ต้องไปนั่งอ่านหนังสือเรื่องฐานข้อมูล เป็นบ้านเป็นหลัง" สุดท้ายก็เวลาหมดต้องกลับมาเรียนต่อเพราะมีเวลาแค่ 2 เดือนในการทำงานนั้น ได้แต่แก้ไขปัญหาเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เบื้องต้นเอง แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ถามหละก็ ผมมีระบบให้เลยหละ

ทำงานสองเดือนนั้นทำให้ผมได้ซื้อสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในช่วงเวลานั้น คือ จักรยานภูเขา ผมนำเงินทั้งหมดที่ได้ซื้อเลยครับ!  ตอนนี้ยังใช้อยู่เลยทนจริง ๆ  :)

ช่วงเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 -3 นี้เอง เป็นช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคฟองสบู่กำลังจะแจก หรือยุคต้มยำกุ้ง ครอบครัวผมก็เข้าไปอยู่ในช่วงนั้นเหมือนกัน เวลานั้นทำให้ผมเรียนรู้อาการของฟองสบู่เลยครับ ตั้งแต่มันเร่ิมเป็นฟอง การได้มาซึ่งงานและเงินของพ่อ การใช้บัตรเครดิตของพ่อ การจ่ายเงินให้ลูกจ้างรายวัน การกินเลี้ยง การไม่วางแผน การจ้างงานที่ไม่ได้ทำสัญญาการจ่ายเงินอย่างเป็นระบบ การงดจ่ายเงินค่าจ้าง จนในที่สุดฟองสบู่เมืองไทยก็ "แตก"

แน่นอนพ่อผมเป็นหนี้บัตรเครดิต ปิดบริษัท เลิกจ้างลูกจ้าง ต้องไปขับแท็กซี่ และก็กลับมารับงานเล็ก ๆ ทำกันไป ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของครอบครัวของเรา ทุก ๆ ด้านก็ว่าได้ บางครั้งที่บ้านต้องถึงกลับ ต้มข้าวกินแบบไม่มีกับข้าว ไปเรียนแบบต้องเดินไป ไม่ได้กินข้าวเช้าและกลางวัน

แต่ผมยังยึดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอคือ "ต้องเรียนให้จบ เพราะอนาคตผมจะเกิดได้ก็ต้องเรียนจบก่อน" ไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่เรียนและทำมาจะจบลงทันที

และแล้วความพยายามและความตั้งใจก็บันดาลให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นกับชีวิตผม นั่นคือการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต และก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

คราวหน้าค่อยมาดูกันว่าจุดเปลี่ยนที่ว่ามันเปลี่ยนผมได้ซักแค่ไหน.

Monday, February 15, 2010

คำอธิบายในการรับใบรับรองของ Google

คราวก่อนเขียนอธิบายในส่วนของการเข้าใช้งาน https ไว้ แต่ว่าวันนี้ลองเปิด Chrome ดู ปรากฏว่าก็อธิบายไว้อย่างเข้าใจดีเหมือนกัน

ใบรับรองความปลอดภัยของเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ


คุณพยายามเข้าถึง www.domain.com  แต่เซิร์ฟเวอร์แสดงใบรับรองที่ออกโดยนิติบุคคลที่ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ไม่เชื่อถือ ซึ่งหมายความว่า เซิร์ฟเวอร์ได้สร้างใบรับรองความปลอดภัยขึ้นเอง ซึ่ง Google Chrome ไม่สามารถไว้ใจในข้อมูลประจำตัวนั้นได้หรือผู้โจมตีอาจจะพยายามที่จะขัดขวางการสื่อสารของคุณ คุณไม่ควรดำเนินต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุยไม่เคยเห็นคำเตือนนี้มาก่อนเมื่อเข้ามาที่เว็บไซต์นี้



เมื่อคุณเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ที่มีการรักษาปลอดภัย เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการพื้นที่เว็บไซต์นั้นจะแสดงสิ่งที่เรียกว่า "ใบรับรอง" ให้กับเบราว์เซอร์ของคุณเพื่อตรวจสอบข้อมูลประจำตัว ใบรับรองนี้ประกอบด้วยข้อมูลประจำตัว เช่น ที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ได้รับการยืนยันโดยบุคคลที่สามที่คอมพิวเตอร์ของคุณเชื่อถือ โดยการตรวจสอบว่าที่อยู่ในใบรับรองตรงกับที่อยู่ของเว็บไซต์ คุณสามารถยืนยันว่าคุณกำลังสื่อสารอย่างปลอดภัยอยู่กับเว็บไซต์ที่คุณต้องการเข้าชม ไม่ใช่ติดต่ออยู่กับบุคคลที่สาม (เช่น ผู้โจมตีในเครือข่ายของคุณ)


In this case, the certificate has not been verified by a third party that your computer trusts. Anyone can create a certificate claiming to be whatever website they choose, which is why it must be verified by a trusted third party. Without that verification, the identity information in the certificate is meaningless. It is therefore not possible to verify that you are communicating with www.mydomain.com instead of an attacker who generated his own certificate claiming to be www.mydomain.com. You should not proceed past this point.


อย่างไรก็ตาม หากคุณทำงานในองค์กรที่มีการสร้างใบรับรองของตนเอง และคุณพยายามเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ภายในขององค์กรโดยใช้ใบรับรองดังกล่าว คุณอาจแก้ปัญหานี้ได้อย่างปลอดภัย คุณสามารถนำเข้าใบรับรองหลักขององค์กรเป็น "ใบรับรองหลัก" จากนั้น ใบรับรองที่ออกหรือรับรองโดยองค์กรของคุณจะได้รับความเชื่อถือและคุณจะไม่พบข้อผิดพลาดนี้อีกในครั้งหน้าที่คุณพยายามเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ภายใน ติดต่อพนักงานให้ความช่วยเหลือในองค์กรของคุณ หากต้องการความช่วยเหลือในการเพิ่มใบรับรองหลักลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ

นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องมีการแปล (localization) เพราะจะทำให้การใช้งานมีความเข้าใจมากขึ้น ต้องขอขอบคุณ ที่นี่เป็นอย่างมาก http://groups.google.co.th/group/thai-l10n?hl=en

Thursday, February 11, 2010

https มันคืออะไร ...​

เวลาเราจะตอบคำถามเราควรดูผู้ถามก่อนว่าเราจะอธิบายด้วยลักษณะไหนดี ถ้าเราตอบคำถามแบบเทคนิคมาก ๆ ให้กับคนถามที่ไม่มีความรู้ทางด้านเทคนิค เราต้องค่อย ๆ อธิบายอย่างแยบยล นั่นคือหน้าที่ของผม อีกอันหนึ่ง

และวันนี้ก็มาอีกคำถาม "เข้าใช้งาน web แล้วมันถามอะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แล้วต้องทำอย่างไร" แน่นอนถ้าหากเราอธิบายให้กับเทคนิคฟังก็อาจจะง่าย แต่นี้ผมต้องพรรณาให้ผู้ใช้งานฟังนี้ครับ

ดูผม อธิบาย ...

เนื่องจากการใช้งานเว็บในปัจจุบันเป็นช่องทางที่สะดวกและมีการใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ทำให้การเข้าถึงข้อมูลมีมากขึ้น แต่เมื่อข้อมูลที่ต้องการใช้งานนั้นมีความสำคัญ เช่น ข้อมูลทางด้านธุรกิจ ธุรกรรมธนาคาร หรือข้อมูลที่เป็นความลับต่าง ๆ ทำให้มีแนวคิดว่าจะทำอย่างไรให้ข้อมูลที่ส่งผ่านกันระหว่าง ผู้ใช้งานและผู้ให้บริการมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยสามารถป้องกันการดักจับข้อมูลที่ส่งผ่านกันในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงมีการคิดค้นการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้น ซึ่งก็เป็นที่มาของ https ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้


เพื่อให้การเข้ารหัสสามารถระบุตัวตนที่แน่ชัดได้ ก็จึงมีหน่วยงานขึ้นมาทำการออกใบรับรอง หรือที่เรียกกันว่า "Certificate" ขึ้นมา ซึ่งหากผู้ใดต้องการทำการเข้ารหัสและมีความประสงค์ที่จะยืนยันตัวตนในระบบสากล ก็ต้องขอใช้บริการ การรับรอง Certificate โดยมีค่าบริการตามสมควร


แต่ในทางปฏิบัติแล้วหลายเว็บไซต์ไม่ได้มีการติดต่อขอรับบริการดังกล่าว แต่อาศัยการสร้างใบรับรอง Certificate เอง ซึ่งการใช้งานในครั้งแรก ๆ จะมีการเตือนให้ผู้ใช้ทราบว่า Certificate นี้ไม่ได้มีการรับรองโดยบริษัทที่ดูแลการออกใบรับรองนี้โดยตรง ซึ่งหากเป็นเว็บเซอร์เวอร์ที่ใช้กันภายในองค์กรเดียวกัน เราก็สามารถส่งไฟล์ Certificate นี้ไปติดตั้งยังเครื่องต่าง ๆ ได้โดยผู้ใช้งานเป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องทำการตรวจสอบรายละเอียดของใบรับรองนี้เองก่อนการดำเนินการติดตั้ง และเมื่อผู้ใช้งานได้ทำการติดตั้ง Certificate นี้ไปแล้ว ก็จะสามารถใช้งานเว็บไซต์ที่เข้ารหัสได้ในภายหลังโดยไม่มีการร้องเตือนเรื่อง Certificate นี้อีก

อธิบายให้ฟังแล้วผู้ใช้งานผมก็ทำหน้า งง ต่อไป ....  :'-P

Wednesday, February 10, 2010

25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส (1)

วันนี้ฟัง "25 ปีแห่งการงาน เบิกบานแจ่มใส" แล้วก็ได้แนวคิดดี ๆ หลายอย่างในการทำงาน ตามที่อาจารย์ วีระ ต้องการให้กับผู้ฟัง ผมเลยต้องสรุปมาเก็บไว้ที่นี่เพื่อไว้เตือนตัวเองบ้าง คือ


(1) จุดเปลี่ยนในชีวิต
จุดเปลี่ยนในชีวิตของผมก็มีหลายจุดนะ และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ เริ่มจากเรียน ม. ต้น และเร่ิมเล่นดนตรี มันทำให้ผมมีสมาธิ โดยที่ผมไม่รู้ตัว จนกระทั้งมารู้อีกทีก็ตอนที่เข้ามหาลัยแล้ว คือ ดนตรีก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ปัจจุบันผมเป็นคนมีสมาธิในการใช้ชีวิตได้ระดับหนึ่งเลย อีกจุดคือได้รู้จักอาจารย์หลายท่านที่แนะนำในการเรียนที่ดี


ต่อมาก็ตอนเปลี่ยนไปเรียนสายอาชีพนี่แหละ เข้าไปเรียนมา 3 ปี ก็รู้ว่าเลือกผิดเพียงเพราะแค่ต้องการออกจากบางสิ่งเท่านั้น แต่อันนี้ก็เป็นความคิดของเด็ก ก็โชคดีที่ยังกลับมาเข้ามหาวิทยาลัยทัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตต่อไปอีกหลาย ๆ ครั้งเลยก็ว่าได้ "เหมือนที่อาจารย์ วีระ ว่าไว้ว่า การรู้ว่าตนเองผิดนั่นแหละเป็นสิ่งที่สำคัญ"


เมื่อกลับเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย จุดเปลี่ยนที่ถือว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมเลยทีเดียว คือ การที่ได้รับทุนเลือกให้ไปฝึกงานที่ต่างประเทศ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่มาก แค่ไม่กี่เดือน ก็ทำให้ผมเปลี่ยนจากคนเดิมเป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ ผมเค้าไม่คิดว่าผมจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ และจากจุดนี้เองก็เป็นการเข้าสู่อาชีพที่ผมดำเนินการอยู่ทุกวันนี้ 


ในมหาวิทยาลัย ผมได้รู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศใหม่ จนตอนนี้เรียกได้ว่าเราปรึกษากันตลอดเลย ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรู้ต่าง ๆ ... ขอบคุณครับ คุณครู


เมื่อเรียนจบก็สมัครงาน อีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือ ตอนสมัครงาน ตอนนั้นจำได้เลยว่าทางบริษัทเค้านัดเราให้ไปตอนเช้าเพื่อสัมภาษณ์แต่ไม่ได้กำหนดเวลาไว้แน่นอน ผมก็ไปช้ากว่าคนอื่น ๆ เพียง 5 นาทีเท่านั้น ซึ่งคนอื่น ๆ เค้าก็นั่งรถไปที่สาขาต่างจังหวัดกันหมดเหลือผมคนเดียวที่ต้องยื่นเอกสารที่กรุงเทพฯ อยู่คนเดียว และก็ได้ทำงานที่นั่น ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต้องไปลุ้นว่าจะได้งานที่ต่างจังหวัดหรือไม่ 


อีกจุดหนึ่งคือการเปลี่ยนหน้าที่การงาน อันเนื่องมาจากต้องการความรู้ในการงานที่เพิ่มมากขึ้น เพราะว่าที่เก่าผมได้เรียนรู้ในส่ิงที่ควรเรียนรู้จนหมดแล้ว เลยต้องจัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่ (ในชีวิตผมเปลี่ยนที่ทำงาน แค่ 2 ที่เองจนถึงปัจจุบัน) งานใหม่ทำให้ผมต้องทำอะไรหนักขึ้นและมีความรับผิดชอบมากตามไปด้วย ได้เรียนรู้การเป็นหัวหน้างาน การเป็นที่พึ่งของลูกน้อง และการใช้ชีวิต


ผมเริ่มมีความคิดแบบอาจารย์ วีระ แล้ว นั่นคืออยากทำอะไรที่มีประโยชน์ แต่ไม่ได้ทำเป็นบริษัทแล้ว อยากใช้ความรู้ที่ผมสะสมมาให้เป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คน




จุดต่อมากำลังเปลี่ยนผมอยู่ และผมก็กำลังควบคุมการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างตื่นเต้นทีเดียว เอาไว้มันเปลี่ยนไปทางไหนค่อยมาเล่าต่อ 


แต่ว่าเรื่องต่อไปที่จะเขียน จะเป็นเรื่องแง่คิดในชีวิตการทำงาน นะครับ!




Monday, February 8, 2010

ทำไมต้องมีพนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถเมล์ ?

วันก่อนขณะนั่งรถเมล์มาทำงาน  "ชิดในหน่อยครับ ชิดในด้วย" คำนี้เป็นคำคุ้น ๆ ที่จะได้ยินบ่อยมากสำหรับนักศึกษาที่ต้องขึ้นรถโดยสารประจำทางไปมหาวิทยาลัย คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าจะให้ชิดในทำไม แต่มันอยู่ที่ว่า "ทำไมต้องมีคนคอยบอกให้ชิดใน และเก็บค่าโดยสารบนรถประจำทาง?"

รถเมล์ที่ผมเคยนั่ง สาย ปอ.พ. 20 จากนนทบุรีมาซีคอน นาานมากกก ไม่รู้นั่งไปได้ไง ก็ไม่มีคนเก็บค่าโดยสาร ผู้โดยสารจะต้องดูว่ามีที่ว่างให้นั่งหรือไม่ (เพราะว่า ปอ.พ. 20 ไม่ให้ยืน) แล้วค่อยขึ้นไป (ไม่เหมือนรถแท็กซี่สมัยนี้มีคำว่า "ว่าง" บอก) ผู้โดยสารต้องทำการจ่ายค่าโดยสารแบบไม่มีระบบทอน ก่อนเข้าไปนั่ง แล้วทำไมไม่มีคนเก็บค่าโดยสาร?

รถสองแถว ซอยอ่อนนุช ก็ไม่เห็นมีคนเก็บค่าโดยสาร ทุกคน หลังจากกดอ๊อดเพื่อแจ้งให้คนขับรถ จอด เมื่อเดินลงรถไปแล้วก็จะกุรีกุจอไปจ่ายค่าโดยสาร นั่นแสดงว่าไม่จำเป็นต้องมีคนเก็บค่าโดยสารหรือ?

สองแถว เรวดี สายนี้ ปัจจุบันยังมีคนเก็บค่าโดยสารอยู่ มีแบบเดินไปเก็บถึงที่นั่ง และแบบก่อนลงค่อยจ่าย ทำไมไม่เหมือนที่อ่อนนุช?


อะไรทำให้มีหรือไม่มีคนเก็บค่าโดยสาร ขนาดของรถ? เส้นทางเดินรถ? บริษัทเดินรถ?

กรณีของ ปอ.พ 20 เข้าใจได้ว่า บนรถโดยสารไม่มีพื้นที่พอให้มีคนเก็บค่าโดยสาร ทำให้คนขับรถต้องทำหน้าที่ไป หรืออาจเป็นเพราะว่าต้องการเปลี่ยนแนวทางเดิมที่มีพนักงานเก็บค่าโดยสาร แต่ผมก็ชอบแบบนี้นะ

กรณีของเรวดี ที่ต้องมีคนเก็บค่าโดยสารเพราะว่า เป็นรถคันใหญ่ ทำให้การจ่ายค่าโดยสารทำแบบที่อ่อนนุชไม่ได้ แบบนี้ไม่ดี

กรณีของอ่อนนุชทำให้เห็นว่า เล็ก ๆ คล่อง เร็ว ดี

สรุปว่าไม่มีก็ได้นี่หว่า ... ถ้าจัดการได้


ผมคิดว่ารถเมล์บ้านเราปัญหาทั้งหลายทั้ง ขสมก. หรือ รถร่วมบริการก็ดี คือ ขาดการจัดการ บ่อยครั้งที่ผมจะเห็นว่าในชั่วโมงเร่งด่วน ไม่มีรถให้โดยสาร หรือถ้ามีก็จะเป็น 2 คันวิ่งติดกันมาติด ๆ โดยที่คันแรกแน่นขนัด ส่วนคันที่สองวิ่งเร็วฉิวแซงคันแรกไปเข้าอู่ แต่ไม่ค่อยมีผู้โดยสาร

ในฝันที่ผมฝันไว้กับรถเมล์โดยสารคือ

  1. เป็นคันเล็กเท่า ๆ กับ ปอ.พ 20 ทุกคันติดระบบปรับอากาศ ทุกคันเป็นระบบ ไบโอดีเซล เพราะว่าผมเชื่อว่า ไบโอดีเซล ประเทศเราผลิตเองได้ หรือระบบกึ่งระบบไฟฟ้าก็ได้
  2. ไม่ต้องมีคนเก็บค่าโดยสาร ใช้ระบบหย่อนเงินค่าโดยสาร หรือตัดจากบัตรโดยสารรายเดือนก็ได้ 
  3. ไม่มีการยืนบนรถ แต่ให้มีหลาย ๆ คัน โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน ส่วนชั่วโมงปกติก็ทำตารางเวลาการเดินรถ
  4. รถเมล์ทุกคันมีการตรวจสอบจำนวนผู้โดยสารและให้พนักงานขับรถทำการส่ง SMS แจ้งให้ทางศูนย์การเดินรถทราบว่ามีผู้โดยสารคนอื่น ๆ ต้องการรถโดยสาร เพื่อนำมาวิเคราะห์จำนวนรถที่ต้องบริการในแต่ละช่วงเวลา
  5. ผู้โดยสารทำการต่อแถวเพื่อรอขึ้นรถเมล์ตามก่อนหลัง เพราะว่าเดี๋ยวมีรถมารับแน่นอน
  6. มีระบบวิเคราะห์การเดินรถและแจ้งตารางเดินรถให้ผู้โดยสารทราบจาก SMS หรือ WEB ก็ได้
ด้วยจำนวนของผู้โดยสารแต่ละวันและช่วงเวลาที่แน่นอนในการเดินทาง ผมเชื่อว่าถ้าหากมีการจัดการที่ดี ย่อมทำให้ ขสมก. มีรายได้แน่นอน 

100,000 คน คิดคนละ 20 บาทต่อเที่ยว 1 วันต้องเดินทางอย่างน้อย 2 เที่ยว ดังนั้นก็จะมีรายได้วันละ 4 ล้านบาท มันเหมือนกระปุกออมสินเคลื่อนทีเลยทีเดียว แค่ผู้ลงทุนต้องไม่หวังผลในระยะสั้น


ผมเคยถามน้องที่บ้านที่ต้องนั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน "หากต้องซื้อรถขับมาทำงาน จะซื้อหรือไม่ เพราะอะไร" คำตอบคือ "ซื้อ"  เหตุผลแรกคือ ไม่มีรถเมล์ให้โดยสาร พอมีก็แน่นเป็นปลากระป๋อง ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากซื้อรถขับไปคนเดียว

นั่นแหละเป็นปัญหาของการจราจรในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ารถเยอะแต่เป็นเพราะว่ารถน้อยต่างหาก มันน้อยและบริการไม่ดี ไม่จัดการ ทำให้ผู้คนต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยการซื้อรถยนต์ส่วนตัว

ผมคิดว่ารถไฟฟ้าใต้ดินหรือลอยฟ้า ไม่ได้เป็นคำตอบของการแก้ปัญหารถเมล์ แต่เป็นการเพิ่มช่องทางมากกว่าการแก้ปัญหา 


Thursday, January 21, 2010

Sphinx! then with Thai Latex on Mac snow leopard

อ้างอิง: http://vuthi.blogspot.com/2005/03/thai-latex-mac-os-x.html

คราวนี้ก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นผู้แต่งหนังสือคู่มือการใช้งาน นานมาแล้วเคยใช้ Latex ซึ่งมันก็ยอดมาก แต่ว่าดูแล้วมันซับซ้อนและเข้าใจยากและยิ่งผมไม่ค่อยได้จับมานาน  ก็ยิ่งงงกันไปใหญ่

มาคราวนี้เห็นเค้าพูดกันหนักหนาว่า Sphix นั้นมันดีทีเดียวสำหรับการเขียนคู่มือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับการเขียนเอกสารโดยโปรแกรมเมอร์

แต่พอทำเสร็จแล้วลูกค้าอยากได้เป็น PDF ซะงั้น เอา! ตามเค้าไป

แน่นอนคงไม่พ้น Latex แต่ปัญหามันอยู่ว่า ต้องทำให้เครื่อง Mac Book ผมใช้งาน Latex ภาษาไทยได้ด้วยสิ

มาเร่ิมกันครับ


  1. ติดตั้ง Fink ก่อน 
  2. จากนั้นก็ติดตั้ง sphinx
  3. แล้วก็มาถึงคราว Latex
    ปกติแล้วการติดตั้ง sphinx จะมี latex มาให้ด้วยแต่ก็ติดตรงที่ว่า ไม่สามารถใช้งานภาษาไทยได้ดี สุดท้ายต้องติดตั้ง thailatex
    1. ติดตั้ง Thai latex จาก ftp://linux.thai.net/pub/thailinux/software/thailatex/thailatex-0.4.3.tar.gz
      $ tar xzvpf thailatex-0.4.3.tar.gz
      $ cd thailatex-0.4.3
      $ ./configure --prefix=/sw #ติดตั้งไว้ที่ fink
      $ sudo make
      $ sudo make install
    2. แล้วตามด้วยการตัดคำภาษาไทย ผมใช้ swath เพราะว่าหา cttext ไม่เจอ ติดตั้งจาก ftp://linux.thai.net/pub/thailinux/software/swath/swath-0.4.0.tar.gz
      $ tar xzvpf swath-0.4.0.tar.gz
      $ cd swath-0.4.0
      $ ./configure --prefix=/sw
      $ sudo make
      $ sudo make install
    3. อย่าพึ่งดีใจไป ปัญหาที่บอกจากเว็บข้างบนต้องแก้ไขก่อน
      $ updmap --disable thai.map --nohash --nomkmap
      $ updmap --enable Map thai.map
พอเราติดตั้งเสร็จก็เป็นอันเสร็จสำหรับ Latex แต่พอมาใช้กับ sphinx ดันมีบางสิ่งที่ต้องทำแฮะ

ไปแก้ไข conf.py ที่ source directory โดยเพิ่มอันนี้เข้าไปต่อจาก Latex Output

# Latex Elements
latex_elements = {
  'babel': '\\usepackage[thai,thainumber]{babel}',
  'inputenc': '\\usepackage[utf8x]{inputenc}',
}

เมื่อเราทำการ make latex ที่ source directory แล้ว ก็ทำดังนี้
_build/latex $ swath -u u,u -f latex < file.tex > file2.tex # ตัดคำให้สวยงาน
_build/latex $ mv file2.tex file.tex # เปลี่ยนชื่อซักหน่อย
_build/latex $ make all-pdf
เท่านี้เราก็จะได้ file.pdf แล้ว

XMPP มันทำให้ผมคิดว่า...

"เมื่อความเร็วในการเข้าถึง Internet ถึงระดับหนึ่ง และทำให้สามารถ Online ได้ตลอดเวลา และขนาดการเก็บข้อมูลบนเครื่อง client มีขนาดเพียงพอ"


ก็จะมี Application อีกเพียบเลย ดูอันนี้สิ

MPP-based wireless sensor network and its integration into the extended home environment
Hornsby, A.; Belimpasakis, P.; Defee, I.
Consumer Electronics, 2009. ISCE apos;09. IEEE 13th International Symposium on
Volume , Issue , 25-28 May 2009 Page(s):794 - 797
Digital Object Identifier   10.1109/ISCE.2009.5156807
Summary:Wireless sensor networks have significant potential in the home environment. Home application scenarios include monitoring and interaction from several remote or local devices such as mobile phones, televisions or computers. In this paper we propose an architecture for a network based on IP-enabled wireless sensors. The communication system is based on the XMPP-protocol which is shown to be highly suitable for the sensor networks. XMPP provides a push based notification functionality that is especially appropriate for the event-driven paradigm of sensors and also provides the authentication and encryption required for data protection. We also use Atom feeds together with XMPP to enable remote web service-like access to the wireless sensor network. Integration of this XMPP-based wireless sensor network with the standard UPnP media-oriented network is done using a XMPP to UPnP gateway. In this paper, home applications and services are first introduced and different technologies supporting them are described. Next, the benefits of XMPP/IP architecture compared to non-IP sensor networks and to the UPnP based sensor network are discussed. We then present our XMPP-based wireless sensor network, with web-service like access, using XMPP and Atom feeds, also interfacing with UPnP. These solutions have been implemented on internet tablet devices allowing a flexible, highly functional and open system for integrating sensor network with the media environment.

ref:  http://ieeexplore.ieee.org/Xplore/login.jsp?url=http%3A%2F%2Fieeexplore.ieee.org%2Fiel5%2F5109426%2F5156791%2F05156807.pdf%3Farnumber%3D5156807&authDecision=-203

Web Application

อยู่ ๆ ก็มีคำถาม ถามมาว่า "มันเป็น web application" แล้วใช้บน Internet ไม่ได้หรือ?

เนื่องจากระบบที่พัฒนานั้นปกติใช้งานอยู่ บน LAN มาตั้งแต่ ปี 2004 อยู่ดี ๆ ก็มีความคิดว่าจะนำไปไว้ที่ Data Center แล้วให้ผู้ใช้งาน ใช้งานผ่าน internet

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ Web Application  แต่ปัญหามันอยู่ที่ไม่เคยใช้ผ่าน Internet ด้วยสิ่งแวดล้อมและจำนวนผู้ใช้งานที่เท่า ๆ กันมากกว่า

ผมเลยนึกได้ว่าแต่ก่อน กว่าจะอธิบายคำว่า web service ให้หลายคนเข้าใจได้แทบแย่ เพราะเค้าไปยึดติดว่า web คือ Internet ดังนั้น web service จึงต้องมี internet ซะงั้น

หลายคนเข้าใจว่า web = internet !

พอ ๆ กับ แฟ๊บ = ผงซักฟอก!

ผมคิดว่าเข้าใจผิด!  web ในที่นี้น่าจะหมายถึง เครือข่าย มากกว่า

ดังนั้นคำถามข้างบน ที่ถามว่า "แล้วใช้บน internet ไม่ได้หรือ?" จึงขอตอบแบบกวน ๆ ว่า

"ใช้ได้ แต่ใครจะรับผิดชอบถ้าหากมันใช้ไม่ได้? เพราะมันเคยใช้งานบน LAN ได้"

SVN proxy repository server!




แล้วงานก็เข้าอีกทีเมื่อเกิดปัญหาดังนี้

มีการติดตั้งการใช้งาน Application Server ที่ Data Center โดยที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าใช้งานผ่านทาง Internet

แต่แล้วเมื่อทางเราทำการแก้ไข Application ที่บริษัท และต้องการ Update Application ผ่านทาง SVN ก็เกิดปัญหาขึ้นดังนี้


  1. ทาง Data Center ไม่สามารถทำการกำหนด Firewall โดยให้สิทธิ์การ SVN ผ่าน Dynamic DNS ได้ ต้องใช้ IP อย่างเดียว ซึ่งงานนี้ไม่สะดวกแน่ 
  2. ถึงแม้จะทำการต่อ VPN จาก Local Network ไปยัง Application Server ได้ ก็ต้องขอเปิด Port เพื่อทำการ SVN มายัง Local Network ผ่านทาง VPN อยู่ดี  ก็ไม่สะดวกอีก ตามข้อ 1
  3. ถ้าหากใช้การ Upload code ที่ทำการ Release version ไว้แล้ว ก็จะทำให้ใช้ Bandwidth มาก เพราะว่าไฟล์มีขนาดใหญ่ อีกทั้ง เราก็มี SVN Repository นี่นา
โชคดีที่เมื่อก่อนทำงานเป็น System Engineer มาบ้าง วิธีแก้ของผมก็มีดังนี้นะครับ

เนื่องจากเรามี Server ที่ใช้งานเป็น Application อยู่ ก็เลยขอนำมาทำเป็น SVN proxy repository โดยจะต้องให้ทาง Data Center ทำการกำหนดให้สามารถทำการเชื่อมต่อ มายังเครื่องนี้ผ่านทาง protocal ที่กำหนด

จากนั้นเครื่องที่ SVN proxy repository ก็ทำการสร้าง Tunnel ที่เชื่อมต่อมายังเครื่อง Repository Server ตามนี้ Tunnel


แล้วเครื่อง Application ก็ทำการ SVN update ผ่านทาง SVN proxy ได้แล้ว

สร้าง Tunnel ระหว่าง SVN proxy repository (2.2.2.2) มายังเครื่อง Local Network (1111.dyndns.org)
svn-proxy:$ ssh -L 2.2.2.2:8443:localhost:443 username@1111.dyndns.org

Update SVN ผ่านทาง SVN proxy repository
application-server:$ svn up https://2.2.2.2:8443/ssvn/project/trunk 

ซึ่งเราก็จะใช้งานได้แล้ว

สรุป:  ผู้พัฒนาระบบนอกจากจะต้องเข้าใจในเรื่องของ Application Software แล้ว ควรจะเข้าใจในส่วนของ โครงสร้างเครือข่ายด้วย

ปล. (น้อยใจนิด ๆ ) เนื่องจากเราเป็น local company จึงไม่รู้ว่า เวลาที่เป็น international company ถ้าต้องการเปิดสิทธิ์นี้ ทาง Data Center เค้าจะรีบทำกันขนาดไหน อิ อิ

Thursday, January 7, 2010

I'll ... later.

My UK's friend says about Thai people.

After he walked through JJ market. He learn about traditional Thai people and hard to adopt for this.


After a long conversation...

my friend: Would you like to join my business?
        Thai: It's look very interesting. But i'll do it later.

? But .... my friend want to said "later never comes".


That is Thai.

Monday, January 4, 2010

ขอ 30 วินาที ให้ผมข้ามถนน

ช่วงหยุดยาวปีใหม่ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนไกลจากบ้านเท่าไหร่ ตกเย็นก็เลยมีโอกาสเดินไปทานอาหารแถวสี่แยก การเดินของผมเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะว่าความคิดหรือขบวนการในการคิดจะแว๊บ เข้ามาได้มากมาย และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง


"ผมอยากได้เวลา 30 วินาทีในการข้ามถนน"

มันจะดีทีเดียวถ้าหากรถจากทุกทางของสี่แยกที่ผมจะข้าม หยุด ให้ผมและหลาย ๆ คนข้ามถนน ผมว่าเวลาแค่ 30 วินาทีเพื่อคนข้ามถนนนั้น ไม่ได้มากมายอะไร แต่ทำให้ชีวิตของคนเดินถนนดีขึ้นเยอะเลย

บ่อยครั้งที่ผมข้ามถนนโดยไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ต้องยืนรอให้รถติดอีกครั้ง ทำให้ชีวิตต้องคอยประคับประคอง และรอคอยจังหวะที่เหมาะสมในการก้าวต่อไป  ดูแล้วก็อิจฉาคนญี่ปุ่น เค้ามีจังหวะให้คนข้ามถนนด้วย ไม่ใช่มีไฟจราจรให้เฉพาะรถยนต์อย่างเดียว

นึก ๆ ดูข้อดีของการให้สัญญาณกับคนข้ามถนนของญี่ปุ่นก็มีดีดังนี้

1. คนข้ามจะคำนวนเวลาในการข้ามและอัตราความเร็วในการเดินของตัวเองได้ หากต้องทำการข้ามไปอีกมุมถนน
2. ความเป็นระเบียบและการเคารพกฏจะมีตามมาทันที น่าจะไม่มีใครฝ่าไฟแดง เพราะว่าทุกทางข้ามมีคนข้ามกันหมด
3. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำสะพานลอยถึง 4 อัน เหมือนแถวสะพานควาย และอีกหลาย ๆ ที


น่าอิจฉาดี

Sunday, January 3, 2010

อนาคตที่เปลี่ยนไป

ความเดิมจากตอนที่แล้ว "ยืมคำมาจาก heroes"

ผมชอบความฝันตรงที่มันเปลี่ยนกันได้ทุกเวลานี่แหละ วันนี้ขอเปลี่ยนอีกนิด

  1. คนสวน (อันนี้เหมือนเดิม)
  2. IT- ผมคิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าจ่ายเงินให้ผมโดยที่ผมไม่ต้องคอยไปนำเสนอสินค้า หรือว่า demo ด้วยตัวเอง และเพื่อนร่วมงานทุกคนไม่ต้องมาเจอกันทุกวัน แค่มานั่งคุยกัน หรือเดินเสรี เซ็นเตอร์ บางครั้ง เพื่อคุย update ก็พอ
  3. หาอะไรที่ทำได้ทุกวัน วันละน้อยวันละนิด เหมือนน้ำซึมบ่อทราย
  4. สุดท้ายก็... เก็บความรู้บนเส้นทางนี้ที่มีอยู่ 10 ปี มาทำให้เป็นประโยชน์ ต่อตัวเองและผู้อื่น


BitTorrent บิตทอเรนท์

คุณเคยใช้ บิตฯ หรือไม่? คุณรู้หรือไม่ว่ามันทำงานอย่างไร?

วันนี้ลองอ่านดู ก็ค้นพบว่า มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ดังนี้


  1. ในโครงข่าย การแบ่งปันไม่มีที่สิ้นสุด และเร่ิมจากต้องมีผู้ให้ก่อนเสมอ
  2. เมื่อคุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ให้แบ่งให้คนอื่นด้วย 
  3. ทุกคนทีสิทธิ์เป็นทั้ง seed และ peer ไม่ใช่ server หรือ client
ถ้าให้ผมคิดธุรกิจกับ บิตฯ ผมจำทำอย่างนี้
  1. ขาย Bandwidth
  2. ขาย Harddisk
  3. โรงภาพยนต์ด้วย bit 


ref: http://en.wikipedia.org/wiki/BitTorrent_(protocol)

Saturday, January 2, 2010

เราเรียนที่จะเป็นคนอื่น มากกว่าเรียนที่จะเป็นตัวเอง

จากบทความที่แล้ว เรื่องการเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จ 

พอดีนั่งดูรายการต่อ เป็นการเรียนเรื่องภาษาอังกฤษ  ผมชอบคำที่ คริส เดลิเวอรี่ พูดไว้ "เราก็พูดภาษาอังกฤษแบบ ไทย ๆ นี่แหละ จะไปพูดแบบเค้าทำไม ดูอย่างสิงคโปร์สิ" เราใช้ภาษาอังกฤษก็เพื่อสื่อสารกันให้รู้เรื่องไม่ใช่หรือ

มันจะทำอะไรได้ ถ้าหากสอบได้คะแนนภาษาอังกฤษสูง ๆ แต่เวลาพูดกับคนต่างชาติ พูดกันไม่รู้เรื่อง

ผมชอบความคิดแบบญี่ปุ่น เค้ารักวัฒนธรรมเค้า จนกระทั้งอะไรก็ตามที่จะเข้าไปที่ญี่ปุ่น ต้องเปลี่ยนตาม พอมาดูคนไทยก็เหนื่อย เราดันไปทำตัวไปตามเค้าซะงั้น

เวลาเราจะไปสื่อสารกับคนญี่ปุ่น ระหว่างฝึกพูดภาษาอังกฤษ กับภาษาญี่ปุ่น คุณจะเลือกอะไร ผมเลือกภาษาญี่ปุ่น!

ไหงเวลาฝรั่งมาบ้านเราทำไมเราต้องฝึกภาษาอังกฤษหว่า? ทำไมเค้าไม่ฝึกภาษาไทยหละ

tutorchannel www.etthai.tv

ผมชอบรายการนี้เพราะว่านั่งเรียนได้ที่บ้าน ไม่ต้องนั่งดูรถติดไปโรงเรียนกวดวิชา นอกจากการเรียนที่โรงเรียนแล้ว ผมคิดว่าการเรียนพิเศษก็จำเป็น แต่...

สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชา หรือสถาบันการเรียนต่าง ๆ สำหรับผมคือ การไปดูว่าคู่แข่งของเราเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนตัวก็ไม่เข้าใจสักทีว่าทำไมต้องเรียนพิเศษ หรือว่าเวลาที่โรงเรียนไม่พอ หรือว่า อาจารย์สอนกั๊ก เลยต้องมาสอนต่อ

ผมเห็นอาจารย์สอนแล้ว อยากไปเป็นอาจารย์เอง ทำไมหรือครับ? ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู "ฟิสิกส์นิวตัน" ของอาจารย์ สม สุจีรา ดูครับ (อ่านแล้วทำความเข้าใจด้วย อย่านำสองสิ่งมาผสมกันมากไป เพราะอาจหลงทางได้)

และการดึงตัวอย่างที่เห็นจริงและเข้าใจอย่างท่องแท้ จะทำให้เข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์มากขึ้น เพราะผมเชื่อว่า ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ หรือว่าวิชาใด ๆ ก็ตาม มันก็เกิดจากหลักธรรมชาติที่มนุษย์สังเกต นั่นเอง ไม่ได้มีอะไรวิเศษหรือว่าพิศดารมากกว่านี้ และผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนจากโลกอื่นมาเสนอหลักการหรือวิทยาการให้มนุษย์

สิ่งที่วนอยู่ในการศีกษาของคนไทย และทำให้คนไทยไม่พัฒนาในมุมมองของผมมีดังนี้

  1. การเรียนที่ไม่เสนอตัวอย่างที่สังเกตได้จริงปฏิบัติได้จริง เช่น เราเรียนเรื่องการบวก ไปทำไม เรียนการเคลื่อนที่ไปทำไม เรียนเคมีไปทำไม ทำให้นักศึกษาไม่รู้ความสำคัญแต่ละขั้นตอนการเรียน หลงทางไปเรื่อย
  2. เราเรียนทำโจทย์ แต่ไม่เข้าใจโจทย์ จะมีสักที่คนที่สอนให้เข้าใจโจทย์
  3. เราสอนและเรียนเพื่อทำคะแนน แต่ไม่เรียนเพื่อเรียนรู้
  4. เรานำคะแนนมาวัดความรู้ แต่ไม่นำคะแนนมาวัดความเข้าใจ
  5. เราสอนคนตัดตัวเลือก แต่ไม่เคยสอนให้สร้างตัวเลือก ไม่เชื่อลองทำข้อสอบที่มีตัวเลือก 7 ตัวสิ แล้วจะพบว่า คะแนนสอบน้อยลง
  6. เราสอนให้คนท่องจำ มากกว่าสอนให้เข้าใจ มันไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงที่มันรู้ว่า เราทำอย่างไรให้มันทราบได้ว่าเราจะเรียกมันมาหาเรา
  7. คนไทยมักง่าย ได้อะไรมาง่าย ๆ แต่ไม่พยายามทำสิ่งที่ยาก ๆ ฟันฝ่าอุปสรรคยาก ๆ ทำให้เมื่อพบความผิดหวังก็ล้มแล้วลุกขึ้นยาก
  8. เราให้ความสนใจกับคนที่เก่ง สนับสนุนคนเก่ง แต่ไม่ทำให้ทุกคนเก่งขึ้น เหมือนกับเราไม่พยายามเพาะพันธ์ุปลาให้ดี แต่เราจะคัดเลือกเฉพาะปลาที่สวยและเด่นเท่านั้น)
วิชาที่ผมคิดว่าประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนมีดังนี้
  1. วิชายืดหยุ่น เพราะว่ามันเอามาใช้กับการล้มอย่างไรไม่ให้เจ็บ หรือการกระโดดอย่างไรไม่ให้เจ็บขา มันเป็นหลักที่ดีในการทำโช๊ค ในรถยนต์ คุณว่าไหม?
  2. วิชาเกษตร เพราะว่าเราจะนำไปทำได้ทุกเมื่อเวลา และก็ง่าย ทุกคนเข้าใจ คุณปลุกถั่วเขียวเป็นหรือเปล่า คุณว่าไหม เราสามารถปลูกถั่วเขียวเป็นอาชีพได้
  3. วิชาศิลปะ เพราะว่ามันทำให้เราไม่มีกรอบ
จะเห็นได้ว่าวิชาที่ประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนส่วนใหญ่เกิดจากการสร้างจินตนาการให้นักเรียนได้นั่งเอง

อีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จของการเรียนจากการใช้งานจริง คือ ภาษาอังกฤษ คุณเชื่อหรือไม่ ภาษาอังกฤษที่เราเรียนกันในมหาวิทยาลัย ยังแพ้ ชาวบ้านที่กระบี่ ที่ต้องพาชาวต่างชาติ ไปเที่ยวตามเกาะต่าง ๆ เลย ไม่เชื่อลองไปเที่ยวดูสิ


ปีใหม่ตั้งใจทำอะไร

#อ่านหนังสือมากขึ้น
ปีที่แล้วเป็นปีที่อ่านหนังสือธรรมะแนววิทยาศาสตร์มากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มากเท่าเพชรพระอุมา ปีนี้จะเพิ่มหมวดหนังสือเฉพาะทางอีก โดยเฉพาะ Python ที่กำลังอ่านคือ "How to Think Like Computer Scientist"  อีกเล่มคือ "Sphinx Python Documentation Generator" 

#เพิ่มความสามารถเฉพาะด้านที่ถนัด
หลังจาก การไปเที่ยวได้อะไรมากกว่าที่คิด ที่แล้ว ก็ทำให้เรารู้ว่า "รู้สิ่งเดียวให้เชียวชาญเถิดจะเกิดผล" เพราะว่าถ้าคนเรารู้หลาย ๆ อย่างมากไป จะทำให้ยิ่งหาตัวตนได้ยากยิ่งขึ้น

#การงานที่ต้องทำมากขึ้น
่งานปีนี้เป็นปีที่ต้องทำควบคู่กันไปซัก 2-3 งาน สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือ สติ สมาธิ และปัญญา แล้วจะมีเวลาเพิ่มขึ้น

#ท่องเที่ยวไทย
สิ่งที่ต้องทำอีกอย่างที่พลาดไม่ได้สำหรับคนไทย คือ ท่องเที่ยวไทย ถ้าคุณเป็นคนไทย ต้องมีสิ่งนี้

Friday, January 1, 2010

StarCraft

วันนี้ปีใหม่ นั่งเล่นเกมส์กับน้องผ่าปีเลยครับ ผมเล่นเกมส์อื่น ๆ ไม่ค่อยเก่ง นอกจากเกมส์แนว ๆ StarCraft

มันติด ๆ ๆ จนบัดนี้แล้วก็ประมาณ 10 ปีแล้วครับ

และที่แน่ ๆ คือผมรอ StarCraft II อยู่ แค่เห็นตัวอย่างนี้ก็อดรอไม่ไหวแล้ว StarCraft II

Updated: ผมติดตั้ง StarCraft บน Mac Snow Leopard เรียบร้อยแล้ว